วิธีดูแลผู้สูงวัยให้อิ่มสุข

วิธีดูแลผู้สูงวัยให้อิ่มสุข

ผู้สูงวัย คือผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นช่วงชีวิตสุดท้ายที่ต้องให้การดูแลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสภาพร่างกาย จิตใจที่ถดถอย และโรคภัยที่พร้อมมาเยือน การดูแลผู้สูงวัยจึงเป็นเรื่องที่ลูกหลานจำเป็นต้องใส่ใจ เรียนรู้ ด้วยความเข้าใจและจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของคนในวัยนี้ เรามี 5 วิธีดูแลมาฝากกัน

5 วิธีดูแลผู้สูงอายุ

อาหาร ในช่วงวัยนี้มีการใช้พลังงานน้อยลง ต้องการพลังงานประมาณ 1,400-1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน ควรรับประทานอาหารที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ มวลกระดูก บำรุงสมอง และระบบประสาท มีส่วนลดการสะสมของไขมันส่วนเกิน กากใยสูง ย่อยง่ายดีต่อระบบขับถ่าย ป้องกันอัลไซเมอร์ รับประทานให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีโปรตีน (ไขมันต่ำ) แคลเซียม วิตามินดี เค และแมกนีเซียม ตัวอย่างอาหาร เช่น กลุ่มผักสีเขียวเข้ม, ปลาเล็กปลาน้อย, นม, ธัญพืชต่าง ๆ อาหารที่อุดมด้วยกรดโอเมก้า 3 ที่มีสารสื่อประสาทโคลิน เลซิติน และวิตามินบีต่าง ๆ ได้แก่ บี1 บี6 และบี 12 ซึ่งพบใน ปลาทะเลน้ำลึก ไข่แดง กล้วย ถั่ววอลนัท ผักโขม ดอกกะหล่ำ ใบแปะก๊วย ถั่วเหลือง และข้าวกล้อง เป็นต้น

ออกกำลังกาย กระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง และโลหิต ขับเหงื่อระบายของเสีย ด้วยการแอโรบิกเบา ๆ ลดแรงกระแทก ทำเป็นประจำต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ววันละ 30 นาที, แกว่งแขน, ว่ายน้ำ เป็นต้น พาไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะ หรือในสถานที่ที่โอโซนสูง เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์เป็นระยะ ๆ

การนอนหลับ จัดการให้ท่านนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง และหาโอกาสงีบหลับช่วงกลางวัน 15-30 นาที หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน งดการเสพสื่อที่กระตุ้นสมองก่อนเข้านอน และไม่ควรเข้านอนเกิน 21.00 น.

อารมณ์ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เสี่ยงกับความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ และด้อยค่าในตัวเองเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ควรปรุงอารมณ์ดีมีความสุขด้วยกิจกรรมที่ชอบ อากาศที่ดี สิ่งแวดล้อมเชิงบวก เช่น เข้าถึงดนตรีสร้างความสงบ, ชมภาพยนตร์, อ่านหนังสือเล่มโปรด, ทำงานฝีมือ, พาไปเที่ยวสถานที่โปรด ฯลฯ หลีกเลี่ยงการเสพสื่อ และคบหากับคนที่มีทัศนคติลบ, เลี่ยงสภาวะกระตุ้นความเครียด เช่น ที่แออัด อากาศร้อน อบอ้าว เสียงดัง ผู้คนพลุกพล่าน

อาทรห่วงใยให้ความสำคัญ ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น การแต่งบ้าน, ซื้อของใช้ในบ้าน ฯลฯ มอบหมายภารกิจ เช่น เล่านิทาน, ดูแลต้นไม้,คิดเมนูอาหาร ฯลฯ พาไปร่วมกิจกรรมสังคม และการพาไปพบญาติ หรือเพื่อนสนิทเป็นระยะ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยน เล่าความหลังที่มีความสุขร่วมกันช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารสุขได้เป็นอย่างดี

หากพิจารณาความต้องการของผู้สูงวัย และการปฏิบัติดูแลก็ไม่ต่างจากช่วงวัยที่ท่านดูแลลูกหลานในวัยเยาว์ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องการสร้างเสริมร่างกายให้แข็งแรง ปกป้องให้ห่างไกลโรคภัย ต้องให้เวลาทะนุถนอมดูแลสร้างความอบอุ่นทางใจ นี่จึงเป็นช่วงเวลาแสดงความกตัญญูที่ลูกหลานไม่ควรละเลย

9 เทคนิคแก้ง่วงขณะขับรถ

9 เทคนิคแก้ง่วงขณะขับรถ

ริมถนนสายยาวๆทั่วไทยขึ้นป้ายระบุคำว่า “ง่วงจอดนอน, ง่วงไม่ขับ ฯลฯ” บ่งบอกว่า การขับรถทางตรงระยะไกลต่อเนื่องนาน ๆ มีอิทธิพลให้เกิดความง่วงขณะขับขี่ได้มาก การจราจรติดขัดก็เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุสำคัญ เพราะร่างกายเคลื่อนไหวน้อย สมองไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ต้องใช้การตัดสินใจบ่อย ๆ และบางครั้งก็อาจอยู่ในบรรยากาศที่ส่งเสริมให้อาการง่วงกำเริบ เรามาเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหานี้ด้วย 9 เทคนิคแก้ง่วง ดังนี้

นอนให้พอ นอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เตรียมพร้อมสำหรับการเข้านอนเพื่อให้หลับสนิทตื่นเช้าสดชื่น สมองสั่งการได้เต็มที่

หาของขบเคี้ยว (ไม่อ้วน) ติดรถ ของขบเคี้ยวอาจเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หมากฝรั่ง เป็นต้น การเคี้ยวจะบังคับให้สมองสั่งการให้ปฏิบัติการหยิบ เคี้ยว กลืน สัมผัสรส เป็นการปลุกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ดื่มน้ำเปล่า เตรียมน้ำติดรถไว้เสมอ จิบน้ำเป็นระยะระหว่างการขับขี่ คลายเกลียวฝาขวดไว้ก่อนสตาร์ทรถ เพื่อให้สะดวกในการเปิดดื่มได้ด้วยมือเดียว น้ำเปล่าจะดึงความสดชื่นเข้าสู่ร่างกาย

โทรฯ หาใครสักคน เตรียมพร้อมหูฟัง แล้วยกหูหาใครสักคน เพื่อถาม หรือปรึกษา ทำให้เกิดการสนทนาสั้น ๆ การได้คิดได้แสดงอารมณ์กระตุ้นสมองให้ออกกำลังกาย

ออกกำลังกาย เช่น มีลูกบอลนวดมือ ใช้ขยำเป็นระยะขณะขับขี่, ยางยืด(ใช้ช่วงรถติด) ไว้ยืดแขน บ่า ไหล่, ท่าเขย่งส้นเท้า (ตอนติดไฟแดง) วางปลายสองข้างบนพื้นแล้วยกส้นขึ้น-ลง ทำต่อเนื่องเท่าที่ทำได้เป็นการบริหารน่องสวยไปในตัว, เหลือบตาขึ้น-ลง,ซ้าย-ขวาไม่ต้องเอี้ยวหน้าตาม, ยืดเหยียดแขนขาเท่าที่จะทำได้

ฟังคลิปเสียง เปิดวิทยุ หรือคลิปเสียงฟังเรื่องสนุก ให้ความรู้ ทำให้เกิดอารมณ์ร่วม มีการโฟกัส ติดตามต่อเนื่องจนลืมง่วง

สูดลมหายใจเข้า-ออกลึก ๆ เติมออกซิเจน เทคนิคนี้ได้ผลมาก โดยหายใจเข้าทางจมูกให้สุดแล้วกลั้นไว้สัก 10 วินาที (จนทนไม่ได้) แล้วผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ เอาให้สุดจนทนไม่ได้ ทำวนซ้ำแบบนี้สัก 10 ครั้ง ช่วยดึงออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

เติมคาเฟอีน เติมชา กาแฟสักแก้ว หรือเครื่องดื่มอื่นที่มีคาเฟอีน กระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างไรก็ตามหากอดนอนต่อเนื่องหลายวันคาเฟอีนอาจไม่ได้ผล

ไม่ไหวให้จอดงีบ – ยืดเส้นยืนสาย แวะปั๊มปลอดภัยพักงีบสัก 15 นาที ให้เพื่อนอยู่ยาม(ถ้ามี)ช่วยลดความกังวลและหลับสนิทมากขึ้น เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ยืดเส้นยืดสายแล้วไปต่อ

ก่อนสตาร์ททุกครั้งโปรดสำรวจ เตรียมความพร้อมทั้งรถและคนขับ พยายามนอนให้เพียงพอ หากอดนอนอ่อนเพลียให้ปรับแผนการเดินทางเสียใหม่ เช่น สลับให้คนอื่นมาขับแทน,เปลี่ยนวันเวลาเดินทาง,เปลี่ยนวิธีการเดินทางเป็นต้น เพื่อให้ขับถึงที่หมายโดยปลอดภัย

หมัดแมว อันตรายแค่ไหน เหล่าทาสควรรู้ไว้และหาวิธีป้องกัน

หมัดแมว อันตรายแค่ไหน เหล่าทาสควรรู้ไว้และหาวิธีป้องกัน

แมว เป็นสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักที่คนไทยจำนวนไม่น้อยนิยมเลี้ยง เพราะความน่ารัก ขี้อ้อนจึงทำให้หลายคนตกเป็น ทาสแมว แต่รู้หรือไม่ว่าบนความน่ารักนั้นหากไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี ก็จะนำพาอันตรายมาสู่แมวและผู้เลี้ยงได้ โดยเฉพาะอาการคันที่ไม่พึงประสงค์

หมัดแมว คืออะไร

หมัดแมว ถือเป็นปรสิตที่มีขนาดเล็กมาก โดยมีขนาดลำตัวยาวเพียง 1-4 มิลลิเมตรเท่านั้น มีความสามารถในการกระโดดได้ไกล สร้างความรำคาญให้แก่สัตว์เลี้ยงและคนได้ เพราะสามารถที่จะซ่อนตัวตามโซฟา, ที่นอน, หมอน, ผ้าห่มและพื้นที่ที่มีส่วนประกอบของผ้าได้ อาหารที่สำคัญของหมัดแมวคือ เลือด สัตว์เลี้ยงจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ โดยเฉพาะแมวเพราะมักจะไม่ค่อยชอบอาบน้ำสักเท่าไร จึงเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของปรสิตชนิดนี้

วงจรชีวิตของ หมัดแมว จะมีระยะเวลาในการฟักไข่ 2- 16 วัน ก่อนเป็นตัวอ่อนเริ่มแรกใช้เวลา 7-10 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ระยะดักแด้ ก่อนที่จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยพร้อมที่จะหากินบนตัวลัตว์เลี้ยง โดย หมัดแมว สามารถที่จะอาศัยอยู่บนตัวสัตว์เลี้ยงได้นานสูงสุดถึง 58 วัน ในระหว่างนั้นสามารถที่จะแพร่พันธุ์และกระจายไปยังสัตว์อื่น ๆ ด้วยวิธีการกระโดด

อาการของแมวและสัตว์เลี้ยงเมื่อมี หมัดแมว อาศัยอยู่

อาการเริ่มแรกที่ส่งผลโดยตรงแก่สัตว์เลี้ยง คือ จะเกาบริเวณที่คัน โดยเฉพาะบริเวณหลังหู หลัง หรือที่เล็บไม่สามารถเกาถึงได้ง่าย ในบางรายหากเกามาก ๆ จะทำให้เกิดรอยแดง ขนร่วง จนเป็นสะเก็ดแผล หากรุนแรงมากอาจทำให้ติดเชื้อและกลายเป็นแผลเปิดได้ สำหรับผู้เลี้ยงหากโดน หมัดแมวกัด จะมีอาการคัน ถึง คันมาก เป็นผื่นแดง บางรายเกาจนเป็นแผล ส่งผลให้เกิดอาการติดเชื้อ Rickettsia จนนำไปสู่การเป็นโรคไทฟัสได้

วิธีการกำจัด หมัดแมว

เนื่องจากหมัดแมว เป็นปรสิตขนาดเล็ก มักอาศัยอยู่บริเวณที่มีขนฟู ๆ หนา ๆ หรือซอกผ้าห่ม หมอน ที่นอนและโซฟาที่เป็นผ้า ดังนั้น ควรทำความสะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะ ทาสแมว ที่มักจะนำแมวไปนอนหรืออาศัยในห้องนอนด้วย ในขณะที่ตัวแมวเองก็ควรได้รับการอาบน้ำด้วยน้ำยากำจัดหมัดแมวบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงให้แมวออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็นหรือการปล่อยให้แมวไปคลุกคลีกับแมวจรอื่น ๆ เพราะอาจเป็นพาหะของหมัดแมวและโรคภัยอื่น ๆ ได้ การได้รับยาหรือผลิตภัณฑ์กำจัดหมัดแมวเพื่อกินโดยตรงควรได้รับคำปรึกษาจากสัตวแพทย์เสียก่อน

ไม่ว่าหมัดแมว จะมีอันตรายมากแค่ไหน หาก ทาสแมวทั้งหมายเอาใจใส่และดูแลความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ ก็ไม่สามารถทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงและเจ้าของได้ อย่าลืมว่าสัตว์เลี้ยงเองก็ต้องการเอาใจใส่และดูแลไม่ต่างจากคนเช่นกัน

เทคนิคเตรียมบ้านให้พร้อมก่อนขาย ได้ราคาสูง

เทคนิคเตรียมบ้านให้พร้อมก่อนขาย ได้ราคาสูง

บ้านเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่หลายคนผ่อนต่อไม่ไหวหลังสถานการณ์โควิดกระทบรายได้อย่างหนัก ก่อนที่จะประกาศขายควรเตรียมบ้านให้พร้อม ตั้งแต่การซ่อมบำรุง ทำความสะอาด ไปจนถึงทาสีใหม่ เพื่อโอกาสได้รับข้อเสนอดี ๆ เรียกราคาได้มากขึ้น เรารวบรวมขั้นตอนสิ่งที่ควรทำก่อนขายบ้านมาแนะนำกันดังนี้

1.ค้นหาประกาศขายบ้านเช็คราคาตลาด

ก่อนขายบ้านควรเริ่มต้นด้วยการวิจัยตลาดที่อยู่อาศัยในละแวกบ้าน เทียบเคียงยอดขายบ้านเพื่อประเมินราคาซึ่งจะดูจากขนาดที่ดินทั้งหมด พื้นที่บ้าน และคุณสมบัติต่าง ๆ ถ้าพื้นที่ขนาดใกล้เคียงกันแต่ตัวบ้านมีขนาดเล็กกว่ามาก ต้องปรับราคาขายน้อยกว่า แต่ถ้ามีคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าคู่แข่ง เช่น มีสระว่ายน้ำ สนามข้างบ้าน บ้านหลังหัวมุม ล้วนเป็นจุดขายที่สามารถต่อรองราคาเพิ่มได้

2.ค้นหาตัวแทนขายบ้าน

สมัครลงทะเบียนกับเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์มืออาชีพเพื่อเป็นตัวแทนขายบ้านให้ พิจารณาเลือกนายหน้าที่มีประสบการณ์ขายในละแวกบ้านของคุณ มีความเชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียหรือติดต่อกับผู้ที่มีกำลังซื้อสูงทำให้ขายบ้านได้ราคาดี สอบถามนายหน้าถึงขั้นตอนการขายอย่างละเอียดเพื่อเลือกใช้บริการกับตัวแทนที่มีความชำนาญและเรียกราคาที่เหมาะสมให้กับเราได้

3.ปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดี

ความประทับใจเมื่อแรกพบมีความหมายเสมอ สิ่งแรกที่ควรทำคือปรับปรุงบ้านติดหลอดไฟเพิ่มให้ความอุ่นใจว่าไฟสว่างปลอดภัย ที่สำคัญคือหลอดไฟทุกดวงในบ้านต้องใช้งานได้ ถ้าสีบ้านเดิมดูหมองเก่า แผ่นสีหลุดล่อนไม่น่าดู ถึงเวลาทาสีบ้านใหม่ใช้เฉดสีที่เป็นกลาง ได้แก่ สีขาว สีเทาอ่อน สีเบจอ่อน ทำให้บ้านดูกว้างใหญ่และสว่างขึ้นช่วยปกปิดซ่อนเร้นข้อบกพร่องต่าง ๆ เรียกช่างซ่อมบำรุงแก้ไขก๊อกน้ำรั่ว โถชักโครกที่น้ำไหลตลอด อุดรอยแตกในผนัง เปลี่ยนสวิตช์ไฟและเครื่องใช้ที่ชำรุด และประตูที่มีเสียงดัง  แนะนำให้แขวนผ้าม่านเหนือกรอบหน้าต่างทำให้เพดานห้องดูสูงขึ้น

4.รื้อบ้านจัดเป็นระเบียบ

เตรียมจัดบ้านให้สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต้องวุ่นวายถึงขนาดซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ เพียงเปลี่ยนผ้าคลุมโซฟาหรือปลอกหมอนอิง รื้อของจุกจิกรกตาออกไป แนะนำให้ออกแบบจัดวางเฟอร์นิเจอร์ลงตัวกับพื้นที่ห้องจะดูอบอุ่นและน่าสนใจกว่าบ้านโล่ง ๆ ถ่ายรูปออกมาสวยสามารถช่วยขายได้เร็วขึ้นและเพิ่มมูลค่าบ้านมากขึ้น 

5.ทำความสะอาดให้ดูใหม่

หลังจากจัดบ้านแล้วทำความสะอาดแบบหมดจดทั้งหลัง โดยเฉพาะพื้น ผนัง ห้องน้ำ ห้องครัว พรม ถ้าคราบสกปรกฝังแน่นขัดถูไม่ออก ลงโทรหาบริษัททำความสะอาดมาทำให้บ้านใหม่เอี่ยม กำจัดพื้นสกปรกและกลิ่นเหม็นอับ ห้องต่าง ๆ ดูสดใสให้บรรยากาศให้น่าอยู่ขึ้น

เพียง 5 ขั้นตอนเหล่านี้เป็นเทคนิคปรับปรุงบ้านก่อนขายสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นน่าอยู่อาศัยอาจใช้จ่ายเงินเพิ่ม แต่ก็ไม่มากมายอย่างที่คิด บ้านที่สะอาดและพร้อมใช้งานแสดงว่าบ้านได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีโอกาสเข้าตาผู้ซื้อและขายบ้านได้เร็วยิ่งขึ้น

ไม่มีแฟนก็ดี มีโอกาสใช้ชีวิตโสดให้คุ้ม

ไม่มีแฟนก็ดี มีโอกาสใช้ชีวิตโสดให้คุ้ม

ทุกวันนี้การเป็นคนโสดอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หลายคนแต่งงานไปแล้วพบว่าชีวิตคู่ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด ความสัมพันธ์ในชีวิตจริง ๆ ช่างไม่โรแมนติกเอาเสียเลย บางคู่ร่วมทุกข์มากกว่าร่วมสุขแต่ถูกหลายปัจจัยบังคับให้ต้องอดทนอยู่กันไป คนที่เลือกเป็นโสดมักจะคิดว่ากว่าจะพบอีกคนที่เข้ากันได้อย่างลงตัวไม่ใช่เรื่องง่าย เลือกอยู่ตัวคนเดียวใช้ชีวิตอิสระก็สบายใจไปอีกอย่าง

การมีคู่ครองเป็นต้นทุนที่สูงมาก เมื่อคนสองคนต่างความคิดและมีความแตกต่างหลาย ๆ ด้านมาอยู่ด้วยกันต่างฝ่ายต้องปรับตัวเพื่อให้การครองชีวิตคู่ราบรื่น แต่ความไม่ลงรอยกันเป็นเวลานาน ๆ บางครั้งก็เกินรับไหว ฝืนใจทนอยู่กันไปทะเลาะกันไปทั้งเครียดและหมดความสุขโดยไม่รู้ตัว หากมองในจุดนี้การมีแฟนไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป คนโสดอยากทำอะไรทำได้ตามใจไม่สูญเสียตัวเองไป นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่จะได้ยืนหยัดเพื่อตัวเอง รู้ตัวตัวเองเป็นใคร ต้องการอะไร ไล่ตามความฝันความทะเยอทะยานของตัวเองได้อย่างอิสระ

หากคิดจะเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต ต้องมั่นใจว่าสามารถพึ่งพาตนเองได้ สุขภาพแข็งแรง และวางแผนเก็บเงินไว้ใช้จ่ายและเพื่อใช้ในกรณีเจ็บป่วยและเกิดเหตุฉุกเฉิน การเป็นโสดนับเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประหยัดเงิน เก็บออมเงินไว้ดูแลตนเองและทำให้ความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิต การเป็นโสดก็ดีเหมือนกัน ไม่เพียงจูงใจให้คุณประหยัดมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีอิสระทางการเงินมากขึ้นอีกด้วย

หากว่าเลือกได้ เชื่อว่าหลายคนคงเลือกที่จะโสดอย่างมีความสุขดีกว่าครองคู่แบบหน้าชื่นอกตรม หากคุณมองหาความรักแต่หาไม่เจอ แทนที่จะใช้ชีวิตโสดแบบหงอยเหงา ลองมองหาวิธีเติมเต็มชีวิตด้านอื่นว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นโสดอย่างมีความสุขได้ แต่เมื่อเราเป็นโสดต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง การออกกำลังกายให้มีสุขภาพดี การเข้าสังคมกับเพื่อน กระชับมิตรกับเพื่อนฝูงญาติพี่น้องให้แน่นแฟ้นขึ้น หรือแม้แต่การต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ข้อดีของการเป็นโสดคือมีเวลาอยู่เพียงลำพังมากขึ้น ปลดปล่อยตัวเองให้สนุกกับชีวิตและเรียนรู้พัฒนาตนเองทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่กับความเหงาเสมอไป

เมื่อต้องอยู่คนเดียว เราควรทำใจให้เข้มแข็งและแกร่งกว่าคนอื่น ถือเป็นสร้างจุดแข็งให้กับตัวเองอีกด้านหนึ่ง เรียนรู้ที่จะสนุกกับการอยู่คนเดียว ทำกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างวาดรูป ทำอาหาร เล่นดนตรี ทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ แม้จะไม่มีคู่คิดคอยเคียงข้างให้พึ่งพาก็ไม่เป็นไร เราจะมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น ได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เรามีความสุขและทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อาจจะไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกันแต่ยังคงส่งข้อความหรือวิดีโอคอลหากันได้ การปลีกตัวเองออกมาอยู่แบบสันโดษแต่จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน

ฝุ่น PM2.5 กำลังจะมา เราควรป้องกันตัวอย่างไรดี

ฝุ่น PM2.5 กำลังจะมา เราควรป้องกันตัวอย่างไรดี

ทุกครั้งที่หมดฤดูฝน ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวที่ทุกคนรอคอย ปัญหาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสภาพอากาศในบ้านเรา ช่วงระยะหลัง ๆ มานี้ ก็คือ ปัญหาฝุ่นขนาดเล็กที่เรียกว่าฝุ่น PM2.5 อันเป็นฝุ่นละอองที่สามารถทำอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของเราได้ การจัดการต้นตอของปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 มิใช่หน้าที่ของใครคนเดียว แต่เป็นหน้าที่ของทั้งภาครัฐ เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมมลภาวะทางอากาศ (เช่น รถ โรงงานอุตสาหกรรม) และ ประชาชนทั่วไปอย่างเราทุกคนด้วย

จากการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า ฝุ่นชนิดนี้ส่วนใหญ่แล้วมักมาจาก

  • การเผาขยะ-เศษใบไม้-กิ่งไม้ ในพื้นที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่มีลานกว้างรอบบ้าน ทำให้ไม่ได้ระมัดระวังเท่าที่ควร
  • การใช้ยานพาหนะ ที่มีอายุใช้งานมากกว่า 10 ปี ทำให้เกิดไอเสียและเขม่าควันพิษและฝุ่นขนาดจิ๋วมากกว่าปกติ
  • การลักลอบเผาป่า เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่มีคนจำนวนหนึ่งที่ยังทำเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเองโดยขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม

สิ่งที่กล่าวมา เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรตระหนักและทุกหน่วยงานต้องช่วยกันรณรงค์และกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด ก่อนที่สุขภาพคนไทยจะได้รับผลกระทบด้านลบแบบสะสมไปเรื่อย ๆ จากฝุ่น PM2.5 ซึ่งจะเป็นปัญหาทางสาธารณสุขในอีก 10-15 ปีจากนี้ได้

อนึ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เรายังลดจำนวนฝุ่น PM2.5 ลงแบบทันทีทันใดไม่ได้ นั้น สิ่งที่เราคนไทยทุกคนพอจะทำได้จริงในขณะที่ปัญหายังคงอยู่อย่างนี้ ก็คือ การป้องกันตัวเอง จากฝุ่น PM2.5 ซึ่งการป้องกันตัวเองจากพิษของฝุ่น PM2.5 ที่ทางการแพทย์แนะนำ มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ดังนี้

  • การนอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายเรามีภูมิต้านทานที่ดี เพราะช่วงเวลาสี่ทุ่มถึงตีสองเป็นจังหวะทองที่ร่างกายของเราจะได้มีเวลาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหากหลับได้สนิท การมีสุขภาพที่ดีจากภายในจึงเป็นการช่วยป้องกันความรุนแรงของปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้
  • รับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายเราจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคหรืออันตรายจากฝุ่นควันพิษได้เป็นอย่างดี ก็ต่อเมื่อได้รับสารอาหารครบถ้วนถูกต้องตามหลักโภชนาการด้วย
  • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว เพราะร่างกายเราทุกเซลล์มีน้ำเป็นองค์ประกอบ หากขาดน้ำจะทำให้การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ อ่อนแอลง รวมถึงระบบเม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้เชื้อโรค หากเกราะป้องกันฝุ่นควันพิษมีคุณภาพต่ำลง เราก็จะมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย
  • รับประทานผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการแพ้ต่าง ๆ จากสิ่งแปลกปลอมจำพวกฝุ่นและมลภาวะได้

ฝุ่น PM2.5 มีอันตรายมากกว่าที่คิดและเนื่องจากเรามองไม่เห็น จึงทำให้หลายคนไม่ใส่ใจ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาวแบบสะสมและยากเกินแก้ไข เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 และใส่ใจป้องกันตัวเองจากฝุ่นชนิดนี้มากกว่าเดิม

คนไทยลดหย่อนภาษีได้ด้วยวิธีใดบ้าง

คนไทยลดหย่อนภาษีได้ด้วยวิธีใดบ้าง

คนไทยทุกคนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีโดยการยื่นเอกสารที่มีแบบฟอร์มชัดเจนถึงการรับเงินเข้าจากนายจ้างหรือองค์กรที่ทำงานอยู่ประจำ อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลก็กำหนดหลักเกณฑ์เป็นลำดับขั้นในการจ่ายภาษี ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์บางอย่างในการลดหย่อนภาษีได้ เรามาดูกันว่าจะใช้อะไรในการลดหย่อนภาษีได้บ้าง

1.ทำประกันสังคม
คนที่ทำงานบริษัทจะสังเกตได้ว่าในสลิปเงินเดือนจะมีส่วนที่แจ้งว่ามีการหักเงินประกันสังคมประมาณ 5% ซึ่งเอกสารนี้จะต้องเก็บเอาไว้เป็นอย่างดีเพื่อนำไปยื่นลดหย่อนภาษี กรณีที่ไม่ได้ทำงานในองค์กร เช่น เป็นฟรีแลนซ์รับงานเป็นรายชิ้นหรือบุคคลทั่วไป ก็สามารถทำประกันสังคมแบบส่งเงินด้วยตัวเองในมาตรา 33 และ 39 แล้วนำเอกสารการจ่ายไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

2.ทำประกันชีวิต
ประกันชีวิตเป็นตัวคุ้มครองความเสี่ยง เพื่อผู้รับสิทธิ์จากกรมธรรม์หลังการเสียชีวิตของเราลำบากด้านเงินทอง ขณะเดียวกันในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถนำเอกสารที่จ่ายเบี้ยประกันชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้ แต่จำกัดวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท และมีเงื่อนไขว่าอายุกรมธรรม์ต้องคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี

3.ทำประกันสุขภาพ
หากเราต้องการแหล่งเงินที่สำรองค่าใช้จ่ายเวลาที่เกิดการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เราจะได้ไม่ต้องนำเงินเก็บออมมาจ่าย การทำประกันสุขภาพจะตอบโจทย์นี้โดยสามารถเลือกได้ว่าขอจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี ตัดบัตรเครดิตหรือตัดบัญชีธนาคาร และสามารถนำหลักฐานการหักเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงภายในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท

4.การกู้ซื้อบ้าน
ในวัยทำงาน นิยมกู้ซื้อบ้านเพื่อเตรียมสร้างครอบครัวที่มั่นคง ซึ่งต้องเก็บหลักฐานการจ่ายเงินแก่ธนาคารไว้ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี โดยสามารถช่วยได้คืนภาษีตามที่จ่ายส่วนดอกเบี้ยไป ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท

5.ลงทุน LTF RMF
การลงทุนระยะยาวในรูปแบบ LTF RMF เป็นตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่นิยมในวัยใกล้เกษียณ โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเท่ากับที่ลงทุนไป แต่จะไม่เกิน 15% ของรายได้ตลอดปี และมีเพดานสูงสุดที่ไม่เกิน 500,000 บาทด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนลงทุน LTF RMF ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน

6.การบริจาคเข้ามูลนิธิต่าง ๆ
รัฐบาลประกาศรับรองการบริจาคเข้ามูลนิธิหรือองค์กรการกุศลหลายแห่ง ว่าผู้บริจาคสามารถนำหลักฐานการจ่ายเงิน มาลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาคไปจริง แต่ต้องไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินรายได้ตลอดปีหลังหักค่าใช้จ่าย ซึ่งแนะนำให้สอบถามรายละเอียดการขอเอกสารลดหย่อนภาษีจากมูลนิธิต่าง ๆ โดยตรง

การลดหย่อนภาษี เป็นสิทธิ์ที่เราทุกคนควรเรียนรู้ เพื่อการบริหารจัดการการเงินอย่างเหมาะสม ที่สำคัญ คือ ต้องรู้จักวางแผนใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เราใช้เงินได้อย่างคุ้มค่าและเหลือเงินเก็บออมได้มากขึ้น

รีวิว 5 ร้าน paint by numbers แพดเทิร์นสวย ระบายสีเสร็จขายงานต่อได้

รีวิว 5 ร้าน paint by numbers แพดเทิร์นสวย ระบายสีเสร็จขายงานต่อได้

paint by numbers คือ งานอดิเรกที่เหมาะสำหรับคนที่อยากทำงานศิลปะที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดด้วยการระบายสีตามตัวเลขบนแพดเทิร์นรูปภาพบนผ้าใบ (Canvas) โดยงาน paint by numbers ที่วางจำหน่ายจะเป็นภาพร่างสำเร็จรูปพร้อมระบาย มีสีสำหรับระบายบนผ้าใบ พู่กันและมีภาพต้นแบบให้ดูเป็นตัวอย่าง มีให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 20 x 20 เซนติเมตรและขนาด 40 x 50 เซนติเมตร ซึ่งงานอดิเรกนี้เมื่อระบายสีเสร็จเรียบ โดยร้านที่ขายงาน paint by numbers สวย ๆ ทำเสร็จแล้วสามารถขายเป็นภาพวาดแขวนผนังต่อได้ มีดังนี้

วังภาพวาดสีน้ำมัน DIY ร้านขายภาพ paint by numbers บนแอปพลิเคชัน Shopee มีให้เลือกทั้งภาพมงคลที่เหมาะสำหรับตกแต่งห้องตามฮวงจุ้ย เช่น ภาพปลาคาร์ป, ภาพภูเขา, ภาพน้ำตกและภาพดอกไม้ เป็นต้น, ภาพ abstractและภาพการ์ตูน ราคาของภาพวาดจะอยู่ที่ราคาประมาณ 100 – 300 บาทเท่านั้น

Paint.number11 หนึ่งในร้านขายภาพ Paint by numbers ที่มีจำหน่ายเฉพาะภาพสั่งทำเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่อยากได้ภาพ paint by numbers ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และมีเพียงชิ้นเดียวในโลก โดยทางร้านจะมีให้เลือก 5 ขนาด คือ 30 x 40, 35 x 60, 40 x 40, 40 x 50 และ 60 x 80 เซนติเมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 200 กว่าบาทเท่านั้น ผู้ที่สนใจสั่งทำภาพ Paint by number

paint_by_number_by_kotchy ร้านขายภาพระบายสีบนผ้าใบที่มีรูปสไตล์ตัวการ์ตูนแสนน่ารักให้เลือกมากมายเหมาะสำหรับตกแต่งห้องนอนสไตล์มินิมอลและแบบมูจิ เรียบง่าย สีอ่อนดูละมุนตา โดยภาพที่ทางร้านจำหน่ายขนาด 30 x 40 เซนติเมตร ในราคาเพียง 300 กว่าบาทและมีค่าส่งประมาณ 40 บาท

paintbynumbers_paint ใครที่ชอบภาพวาดและเฉดสีภาพสไตล์คลาสสิกต้องร้านนี้เลย โดยภาพที่ขายในร้านจะมีทั้งภาพวิวทิวทัศน์, สัตว์เลี้ยง, คน, สิ่งของและสถานที่สวย ๆ เหมาะสำหรับตกแต่งห้องนั่งเล่นและห้องนอน ภาพที่ขายภายในร้านจะมีขนาด 40 x 50 เซนติเมตร โดยภายในชุดจะมีทั้งสี กระดาษและพู่กันครบชุดพร้อมระบายสี ในราคาเริ่มต้นประมาณ 600 กว่าบาท

ososo.o ร้านขายภาพ Paint by numbers แบบ DIY ที่ผู้ซื้อสามารถนำภาพที่อยากนำระบายสีเพื่อตกแต่งภายในบ้านหรือใช้เป็นของขวัญได้ที่นี่ โดยลูกค้าสามารถเลือกขนาดภาพได้ถึง 6 ขนาด คือ 30 x 40, 30 x 50, 40 x 40, 40 x 50, 45 x 60 และ 50 x 70 เซนติเมตร ซึ่งทางร้านจะใช้เวลาประมาณ 10 – 15 วันในการทำภาพให้เสร็จและจำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 400 กว่าบาทเท่านั้น

เปลี่ยนงานอดิเรกที่ข่วยผ่อนคลายความเครียดและนำมาเปลี่ยนเป็นรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยภาพ paint by number

5 วิธีลดความเสี่ยงเมื่อผู้หญิงต้องขับรถคนเดียว

5 วิธีลดความเสี่ยงเมื่อผู้หญิงต้องขับรถคนเดียว

เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งหากเป็นผู้หญิงยิ่งต้องแบกรับความเสี่ยง เพราะมีโอกาสเป็นเหยื่อได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องขับรถคนเดียว และสำหรับสาว ๆ ท่านใดที่ต้องขับรถคนเดียวเสมอ ลองมาติดตามเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงเมื่อต้องใช้รถใช้ถนนเพียงคนเดียว

1.อย่าจอดรถในที่ลับตา
เทคนิคพื้นฐานในการดูแลตัวเองสำหรับผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว นั่นคือ เลี่ยงการจอดรถในที่เปลี่ยว ยิ่งหากรู้ตัวว่าเลิกงานช้าหรือเสร็จธุระช่วงดึก ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการเลือกที่จอดรถ แนะนำให้จอดรถในที่สว่างหรือสถานที่ที่มั่นใจว่าแม้ดึกแล้วยังมีคนเดินผ่านไปมาแน่นอน นอกจากนี้ ควรจอดรถแบบถอยหลังเข้าช่องจอด เพราะหากมีเหตุฉุกเฉินจะสามารถขับรถออกได้อย่างรวดเร็ว

2.ล็อกรถให้ติดเป็นนิสัย
สาว ๆ หลายคนเมื่อขึ้นรถแล้วหันไปวางกระเป๋าหรือสตาร์ทเครื่องยนต์รอไว้ก่อน ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือการล็อกประตูรถทันที เนื่องจากมิจฉาชีพมักอาศัยจังหวะนี้ เพราะเป็นช่วงที่คุณผู้หญิงขาดความระมัดระวัง ดังนั้น เมื่อปิดประตูรถยนต์แล้วให้กดล็อกรถทันทีจนติดเป็นนิสัย และควรเว้นการตอบแชทหรือการคุยโทรศัพท์เพราะอาจทำให้ขาดความระมัดระวัง

3.สังเกตรอบตัวเสมอ
เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ สาว ๆ จึงจำเป็นต้องตื่นตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาใช้รถใช้ถนน หากต้องขับรถผ่านพื้นที่เปลี่ยวควรเช็คทุกครั้งว่าประตูล็อกแล้วหรือยัง และควรสังเกตว่ามีรถขับตามมาแบบผิดปกติหรือไม่ หากมีควรรีบขับไปยังบริเวณที่สว่างหรือพอมีผู้คน นอกจากนี้ ขณะเดินไปยังที่จอดรถควรสังเกตรอบตัวเสมอว่ามีคนแปลกหน้าเดินตามหรือไม่ หากสังเกตความผิดปกติควรรีบเดินห่างจุดนั้นทันทีหรือรีบแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

4.เตรียมเบอร์โทรฉุกเฉินเอาไว้
อีกหนึ่งตัวช่วยเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินคือกดบันทึกเบอร์โทรสำคัญเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรฉุกเฉินหรือเบอร์โทรคนสำคัญ เพราะอย่างน้อยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันยังสามารถรายงานสถานการณ์และขอความช่วยเหลือได้ทันที

5.ตรวจเช็คสภาพรถยนต์เป็นประจำ
สาว ๆ หลายคนมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการดูแลเครื่องยนต์เสียเท่าไหร่ โดยการดูแลเครื่องยนต์สม่ำเสมอ นอกจากช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์แล้วยังทำให้เครื่องยนต์พร้อมใช้งานเสมอ โดยเฉพาะยามเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังทำให้สาว ๆ ไม่ต้องกลุ้มใจเมื่อรถสตาร์ทไม่ติดในที่มืดและรถดับระหว่างเส้นทางเปลี่ยว ควรเก็บเบอร์โทรศัพท์สำคัญไว้ประจำรถ เช่น เบอร์โทรติดต่อประกัน ศูนย์ช่วยเหลือลากรถ หรือเบอร์ของตำรวจทางหลวง เบอร์ทางด่วน เป็นต้น

สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ต้องขับรถคนเดียวเป็นประจำ อย่าลืมนำวิธีดี ๆ เหล่านี้ไปทำตาม เชื่อว่าเทคนิคทั้ง 5 ข้อจะช่วยให้สาว ๆ ใช้รถใช้ถนนได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือควรระมัดระวังทุกย่างก้าว เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ

5 วิธีแก้ไขความรักที่ไม่ลงตัว

5 วิธีแก้ไขความรักที่ไม่ลงตัว

สำหรับคนที่มีความรัก แม้ว่าจะให้ความสุขและความสดชื่นในชีวิต แต่เชื่อว่าคุณต้องเจออุปสรรคระหว่างทางรักอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจกันหรือการใช้ชีวิตที่ต่างกันมากเกินไป จึงทำให้เกิดปัญหารักไม่ลงตัวและอาจจะนำพาไปสู่การเลิกรากันได้ในที่สุด ดังนั้นลองมาดู 5 วิธีแก้ไขปัญหารักไม่ลงตัวที่จะช่วยทำให้คุณอาจแก้ไขเรื่องราวต่าง ๆ และทำให้รักยืนยาวมากขึ้น ดังนี้

1.รู้ให้ทัน
เมื่อคุณและคนรักอยู่ร่วมกันแล้ว ควรรู้ให้ทันอารมณ์ของซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ควรรู้ให้ทันว่าอีกฝ่ายมีนิสัยหรือพฤติกรรมแบบใด ถ้าสามารถปรับได้ควรปรับ หรือถ้าเกิดปัญหาใดขึ้นแล้วพูดคุยตกลงกันได้ควรทำ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนหรือทำไม่ได้ คุณควรรู้ให้ทันแล้วแยกทางกันไป เพื่อที่ความรักนี้จะไม่ทำให้คุณต้องรู้สึกเจ็บจนเข็ดไปอีกนาน

2.ทะเลาะต้องรีบเคลียร์
เมื่อใดที่คุณเริ่มมีเรื่องทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็นทะเลาะกันเล็กน้อยหรือรุนแรง คุณควรต้องรีบเคลียร์ปัญหานี้ให้จบโดยเร็วที่สุด แต่ควรเป็นหลังจากการทะเลาะประมาณ 3-4 วัน เพราะช่วงเวลานี้จะทำให้คุณทั้งคู่อารมณ์เย็นลงและได้ไตร่ตรองเหตุที่ทะเลาะกันมากขึ้น เมื่อกลับมาพูดคุยกันแล้วจึงจะสามารถเคลียร์กันได้ง่ายและลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ควรรีบเคลียร์หลังจากทะเลาะกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพราะด้วยอารมณ์ที่ยังคงร้อนด้วยกันทั้งคู่ การเคลียร์นี้อาจจะยิ่งสร้างปัญหาให้หนักมากขึ้นได้นั่นเอง

3.ไม่เข้าใจต้องถาม
ถ้าเกิดเรื่องไม่เข้าใจใด ๆ ที่คุณรู้สึกติดใจสงสัยหรือติดค้างมานาน คุณควรต้องถามให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันมากที่สุด แต่ในการถามนั้นควรเลือกใช้คำพูดที่ดี แม้จะไม่ควรพูดอ้อมแต่ก็ต้องไม่พูดตรงเกินจนกลายเป็นทำลายความรู้สึกของอีกฝ่าย และเมื่อคุณเข้าใจต่อคำตอบแล้วก็ไม่ควรกลับมาถามอีก หรือถามแบบเซ้าซี้ เพราะอาจจะยิ่งสร้างให้ปัญหาใหญ่ขึ้น

4.รับรู้ความรู้สึก
ช่วงเวลาที่ความรักไม่ลงตัว คุณควรรับรู้ถึงความรู้สึกซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความทุกข์ ความไม่สบายใจ และความรู้สึกอื่น ๆ ของกันและกันให้ดี เพราะถ้าละเลยก็อาจจะยิ่งทำให้รักที่มีต่อกันลดน้อยถอยลง ดังนั้นถ้าเคยทำอะไรมาก่อนก็ควรทำให้เหมือนเดิม นอกเสียจากว่าคุณจะจับสัญญาณได้ว่าเขาหรือเธอไม่มีใจอยู่ตรงนี้แล้ว คุณจึงควรปล่อยไปแล้วกลับมาทำความรู้สึกของคุณให้ดีขึ้นแทน

5.ไม่ไหวไม่ต้องฝืน
ถ้าเมื่อใดที่รู้ว่าไปต่อไม่ได้ รู้สึกไม่ไหว คุณไม่จำเป็นต้องฝืน เพียงแค่ให้คุณทั้งคู่คุยกันด้วยการเปิดใจและลดการใช้อารมณ์ เน้นเป็นการใช้เหตุผลให้มากที่สุด จากนั้นให้คุยตกลงแล้วแยกทางกันไป เรียกได้ว่าไม่ไหวอย่าฝืน เพื่อทำให้คุณทั้งคู่ได้กลับมามีอิสระและเปิดใจเพื่อรับรักครั้งใหม่ที่อาจจะดีกว่าเดิมอีกครั้ง

ถ้าความรักของคุณเริ่มไม่ลงตัว คุณควรทำตามทาง 5 ข้อที่แนะนำนี้ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ทรมานใจ และเป็นการหาจุดลงตัวที่สุดให้กับความรัก แต่ถ้าไม่ไหวก็แนะนำให้ต่างคนต่างเปิดใจและโบกมือลากันด้วยดี เพื่อทำให้ใจได้กลับมาฟื้นฟูและพร้อมเปิดรับคนใหม่ ๆ ให้กับชีวิตต่อไป