นิสัยการออมแบบไหนคือรากฐานความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริง

นิสัยการออมแบบไหนคือรากฐานความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริง

นิสัยการออมเป็นเรื่องที่ดีเพราะเงินออมมีประโยชน์ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเก็บเงินเรียนต่อ เป็นทุนเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือแม้แต่การช้อนซื้อหุ้นที่มีทิศทางขาลงเพื่อหวังเก็งกำไร ความร่ำรวยไม่ได้มาด้วยโชคลาภแต่เป็นการลงทุนให้เกิดผลกำไร การมีเงินออมไว้ใช้ในจังหวะเวลาเหมาะสมจึงเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินอย่างแท้จริง

เมื่อถึงวัยทำงานมีรายได้ ทุกคนควรตระหนักว่าการออมเงินควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ แม้ว่าการสร้างครอบครัว ซื้อบ้าน ผ่อนรถ เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ แต่ส่วนหนึ่งต้องเก็บเป็นเงินออมไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือพบโอกาสทองที่จะลงทุนให้เงินงอกเงยได้ แนะนำให้เริ่มต้นจากเงินออมก้อนเล็กแล้วค่อย ๆ สะสมเพิ่มพูนเพื่อใช้เป็นต้นทุนต่อยอดให้เกิดดอกออกผลในอนาคต เพราะเงินออมในวันนี้จะมีค่าน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไปอีก 10 ปีข้างหน้า หัวใจสำคัญของการออมคือต้องเข้าใจมูลค่าของเงินที่ลดลงไปตามวันเวลา เป้าหมายของเงินออมต้องขยับเพิ่มขึ้น ยิ่งเป้าหมายเติบโตมากเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น นั่นคือเคล็ดลับการประหยัดเงินอย่างถูกวิธี

หลักการออมเงินที่ดีควรมีการบันทึกค่าครองชีพในช่วง 3 เดือนถึง 6 เดือนซึ่งเป็นแผนระยะสั้นที่ง่ายต่อการประเมินรายได้กับค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แล้วหักลบเพื่อให้รู้ถึงจำนวนเงินที่ประหยัดได้ในแต่ละเดือน เทคนิคนี้เรียกว่าจ่ายเงินให้ตัวเองก่อน เมื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นในชีวิตไปแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสร้างวินัยในการออมเงินเพราะรู้ว่าจะประหยัดได้เท่าไรและควรจะเพิ่มเป้าหมายเป็นเท่าไรในอนาคต

หลายครั้งที่ชีวิตควบคุมไม่ได้ อาจมีเหตุการณ์และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้การออมเงินก้อนใหญ่เป็นเรื่องยาก หากมีความมุ่งมั่นที่จะมีอิสรภาพทางการเงินในอนาคต และไม่อยากกังวลว่าเงินจะขาดมือ ก็จำเป็นต้องประหยัดเป็นกิจวัตรโดยลดค่าใช้จ่ายประจำวันในแบบที่ไม่ทำให้ชีวิตลำบากและตึงเครียดเกินไป จึงจะเป็นวิธีการช่วยประหยัดเงินได้ง่ายขึ้น เช่น ขึ้นรถตู้แทนรถแท็กซี่ ดื่มกาแฟสำเร็จรูปแทนกาแฟสด เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มออมเงินควรตั้งค่าโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนไปยังบัญชีเงินออมทุกเดือน หากใช้บัตรเครดิต ควรชำระยอดเงินเต็มจำนวนทุกเดือนและเลือกบัตรที่ให้คะแนนตามยอดซื้อสินค้าเพื่อใช้ส่วนลดและรับเงินคืนได้ รวมถึงใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึกอัตโนมัติเพื่อให้ตรวจสอบเงินออมและค่าใช้จ่ายได้สะดวกง่ายดาย

นิสัยการออมเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และมีวินัยเก็บออมเงินอย่างต่อเนื่อง วิธีจัดการกับเงินออมมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงและความสำเร็จทางการเงินในอนาคต ถ้ามีเงินออมหรือหลักทรัพย์ที่ปลอดภัยอยู่ในมือ แน่นอนว่าความเครียดและวิตกกังวลจะลดลงแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากมีสภาพคล่องเพียงพอและมีโอกาสใช้เงินลงทุนทำกำไรในขณะที่คู่แข่งอื่น ๆ ก้าวถอยหลัง

เคล็ดลับข้อสุดท้ายคือ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองทุกครั้งเมื่อเงินออมแตะระดับเป้าหมายที่ต้องการ จากนั้นตั้งเป้าหมายลำดับต่อไปแล้วออมเงินอย่างต่อเนื่อง

อยากมีเงินเก็บมากขึ้น ต้องทำอย่างไรดี

อยากมีเงินเก็บมากขึ้น ต้องทำอย่างไรดี

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนอยากมีฐานะมั่นคงทางการเงินและต้องการมีเงินเก็บเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉินในอนาคตด้วย เราจึงรวบรวมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาฝากกัน เพื่อให้ผู้อ่านนำไปปรับใช้ให้มีเงินเก็บมากขึ้นได้ ดังนี้

1.ออมเงินเหรียญ
เงินทอนที่เป็นเงินเหรียญเมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่าหลักพันต่อเดือนได้ จึงขอให้มีกระปุกสำหรับใส่เหรียญไว้ แม้จะครั้งละบาท ห้าบาท สิบบาท แต่เมื่อนำมารวบรวมเป็นประจำทุกเดือน แล้วไปฝากธนาคารต่อ คุณจะเห็นตัวเลขเงินในบัญชีเพิ่มขึ้นได้ปีละหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว

2.สร้างรายได้เสริม
ปัจจุบันเพียงมีโทรศัพท์มือถือกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถสร้างรายได้เสริมได้แล้ว เช่น รับจ้างผลิตบทความ SEO รับหน้าที่เป็นแอดมินดูแลเพจต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก หากคุณชอบท่องเที่ยวหรือกินอาหารร้านต่าง ๆ ก็สามารถอัดคลิปรีวิวสถานที่นั้น ๆ นำขึ้นช่อง YouTube สร้างรายได้ได้เดือนละหลายพันบาท หรือหากชอบทำกับข้าวก็สามารถที่จะโพสต์รับออเดอร์ผ่านเฟซบุ๊กได้เช่นกัน

3.เรียนรู้เรื่องเล่นหุ้น
หากมีความรู้ด้านการเล่นหุ้น ก็สามารถสร้างรายได้ผ่านโปรแกรมซื้อขายหุ้นในมือถือ ทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ต้องศึกษาหาความรู้และฝึกฝนอย่างเป็นระบบเพื่อลงทุนอย่างมีสติและไม่ประมาท และต้องมีกติกากับตัวเองในการนำเงินที่ได้จากกำไรหรือการปันผลมาเก็บเป็นเงินออมที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า จะทำให้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้นได้ด้วย

4.ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
สิ่งพื้นฐานที่หลายคนมองข้ามคือการทําบัญชีรายรับรายจ่ายที่รัดกุม เมื่อจดรายรับรายจ่ายจะทำให้คุณสามารถมองเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ดีขึ้น ว่าเสียค่าใช้จ่ายไปกับสิ่งใดเกินจำเป็น เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ค่าเชื้อเพลิง เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ซึ่งการที่หลายคนเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากก็เพราะไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ดังนั้น หากมีวินัยในการทำบัญชีตั้งแต่วันนี้ จะทำให้มีเงินออมมากขึ้นอย่างแน่นอน

5.เพิ่มทักษะความรู้ใหม่ ๆ
หากคุณพิจารณาแล้วว่าตัวเองไม่มีทักษะโดดเด่นในด้านใด ก็ควรเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ให้แก่ตัวเองด้วยการลงเรียนคอร์สต่าง ๆ หรือหาแรงบันดาลใจจากการดูคลิป YouTube ต่าง ๆ จะทำให้คุณวิเคราะห์ตัวเองง่ายขึ้น เมื่อพัฒนาตัวเองในสิ่งที่ชอบหรือสนใจจนเกิดเป็นผลลัพธ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา นอกจากสร้างความภูมิใจแล้ว ยังสร้างรายได้และทำให้มีเงินเก็บมากขึ้นได้ในไม่ช้า

จะเห็นได้ว่าวิธีที่แนะนำข้างต้นนั้นไม่ได้มาจากการเก็บออมอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการเพิ่มรายได้และควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสมด้วย ทั้งยังต้องพัฒนาตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งจะทำให้มีช่องทางสร้างรายได้และมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขมิ้นชัน กินตามเข็มนาฬิกา ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย

ขมิ้นชัน กินตามเข็มนาฬิกา ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย

ขมิ้นชัน พืชสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ประโยชน์มากมายมหาศาล มีสีเหลืองเข้มและกลิ่นหอมอ่อน ๆ นอกจากประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ขมิ้นชันยังเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ด้วยสรรพคุณที่โดดเด่นในการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งมีข้อปลีกย่อยในการกินทั้งในเรื่องของเวลาและปริมาณ โดยมีคำแนะนำให้กินขมิ้นชันตามเข็มนาฬิกา เพื่อช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย แต่จะกินอย่างไรเมื่อไรถึงจะมีประสิทธิภาพ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มาแนะนำ

ขมิ้นชัน อุดมไปด้วยวิตามิน เอ และ ซี ที่สำคัญคือสารคูเคอร์มิน (Curcumin) ที่ช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการสะสมไขมันที่ตับ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ขมิ้นชันยังมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการกรดไหลย้อน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องเสีย แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อย่างได้ผลดี

ส่วนทฤษฎีนาฬิกาชีวิตที่ตำราแพทย์แผนจีนพูดถึงนั้น มีหลักการที่สัมพันธ์กับการทำงานของอวันวะภายในร่างกายของมนุษย์ โดยเชื่อว่าตลอด 24 ชม.จะมีการไหลเวียนของพลังงานชีวิตไปตามอวัยวะต่าง ๆ สลับกันไปทุก ๆ 2 ชั่วโมง ได้แก่ หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก และกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น

ช่วงเวลา ตี 1 ถึง ตี 3 ลมปราณจะโคจรไปที่ตับ ช่วงเวลา ตี 3 ถึง ตี 5 เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณโคจรไปที่ปอดจากนั้นอีก 2 ชั่วโมงก็จะไปที่ลำไส้ใหญ่ และโคจรไปตามอวัยวะอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องเช่น กระเพาะอาหาร, ม้าม, หัวใจ, ลำไส้เล็ก, กระเพาะปัสสาวะ,ไต, เยื้อหุ้มหัวใจ, ซานเจียว (ไฟธาตุทั้งสาม),และถุงน้ำดีตามลำดับ, หากต้องการใช้ขมิ้นชันเพื่อการรักษาและฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ควรนำทฤษฏีนาฬิกาชีวิตมาปรับใช้ในการกินขมิ้นชันดังนี้

หากกินขมิ้นในระหว่างเวลา ตี 3 ไปจนถึงตี 5 จะช่วยบำรุงปอด แก้โรคภูมิแพ้ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเวลา, ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า ลมปราณโคจรไปที่ลำไส้ใหญ่ ขมิ้นชันจะช่วยให้ปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ได้รับการฟื้นฟู ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น, เวลา 7 โมง ไปจนถึง 9โมงเช้า ขมิ้นชันจะช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้อง และช่วยรักษาาอาการอักแสบจากแผลในกระเพาะอาหารได้ เวลา 9 โมงเช้า ถึง 11 โมง ลมปราณโคจรไปที่ม้าม ขมิ้นชันจะเข้าไปช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงม้ามให้แข็งแรง, หากกินขมิ้นชันเวลา 11โมง ถึงเวลาบ่ายโมง ลมปราณโคจรไปที่หัวใจ และอวัยวะใกล้เคียงเช่น ตับ และปอดก็จะได้รับการฟื้นฟูด้วย, การกินขมิ้นชันเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง ช่วยลดการเกิดแก๊สในลำไส้เล็ก ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้, ในเวลาบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น ลมปราณจะโคจรไปที่กระเพาะปัสสาวะ กินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้ จะช่วยลดอาการตกขาว ทำให้หูรูดแข็งแรงและบำรุงกระเพาะปัสสาวะ

ดังนั้นการปรับใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน จะช่วยให้เกิดสมดุลในร่างกายอย่างแท้จริง ช่วยให้การดำเนินชีวิตราบรื่นด้วยการมีสุขภาพดี และมีอายุยืนยาวต่อไปได้

เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้

เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้

คุณแม่มือใหม่จำนวนมากมีปัญหาน้ำหนักส่วนเกินหลังคลอด ทำให้ไม่มั่นใจในการใส่เสื้อผ้า และยังสร้างความกังวลใจอย่างมากว่าจะลดน้ำหนักลงไปให้เท่าก่อนตั้งครรภ์ไม่ได้

เราจึงได้รวบรวมเทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้มาฝากกัน ดังนี้

  1. ให้ทารกดื่มนมจากเต้า

มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์พบว่า แม่ที่ให้น้ำนมลูกด้วยตัวเอง จะทำให้ร่างกายดึงพลังงานไปใช้ได้มากขึ้น กระบวนการเผาผลาญโดยรวมจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะร่างกายต้องผลิตน้ำนมไหลเวียนตลอดเวลาให้เพียงพอต่อทารก นอกจากนี้ การให้ลูกดูดนมจากเต้า ยังทำให้เด็กได้รับความอบอุ่นและได้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงและกระตุ้นระบบย่อยอาหารของทารกให้ทำงานสมบูรณ์ด้วย

  1. เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง

การเลี้ยงทารกจะต้องเรียนรู้ธรรมชาติว่า เด็กวัยนี้จะตื่นนอนบ่อยทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากวงจรการนอนหลับสั้นกว่าผู้ใหญ่ และการควบคุมระบบขับถ่ายยังทำได้ไม่ดี ทำให้ปัสสาวะอุจจาระบ่อยเช่นกัน ดังนั้น หากคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง จะทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น จึงลดน้ำหนักส่วนเกินได้ภายใน 3 ถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

  1. ออกกำลังกายวันละ 30 นาที

การออกกำลังกายในผู้หญิงหลังคลอดนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่หลังคลอด 2-3 วันหากคลอดบุตรโดยวิธีธรรมชาติ แต่ถ้าคลอดโดยการผ่าตัดต้องรอประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนถึงรอยแผลที่เย็บ โดยการออกกำลังกายของแม่หลังคลอดทำได้หลายประเภท ตั้งแต่ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เล่นโยคะ ฯลฯ เพียงวันละ 30 นาที ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้แก่ร่างกายได้ทุกส่วน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหักโหมเกินไป ให้ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาตามความแข็งแรงของร่างกายจะดีที่สุด

  1. ปรับเมนูอาหาร

ในช่วงที่ตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนรับประทานอาหารปริมาณมากขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารต่าง ๆ เพียงพอสำหรับการบำรุงทารกในครรภ์ แต่เมื่อคลอดแล้ว ต้องปรับเมนูอาหารให้มีไขมัน แป้ง น้ำตาลลดลง เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้สดมากขึ้น เลือกดื่มนมสูตรไขมันต่ำหรือน้ำตาล 0% และงดการดื่มน้ำอัดลม

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกคน หลังการคลอดลูก ร่างกายของแม่ต้องการน้ำที่เพียงพอในการช่วยให้ปฏิกิริยาการเผาผลาญสารอาหารได้ดีขึ้น กระตุ้นการขับถ่ายของเสียหรือดีทอกซ์ได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่ควรมองข้ามการดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 6-8 แก้ว

การลดน้ำหนักของคุณแม่หลังคลอดไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงรู้เทคนิคที่เรากล่าวมาแล้วนำไปปรับใช้เป็นประจำ ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5-10 กิโลกรัม ช่วยให้กลับมาหุ่นดีได้เหมือนเดิม ที่สำคัญคือ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เป็นการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีด้วย

10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์วินเทจ Cool ได้ เท่ด้วย

10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์วินเทจ Cool ได้ เท่ด้วย

สไตล์การแต่งตัวย้อนยุคของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากดาราหรือไม่ก็เน็ตไอดอลที่นิยมแต่งตัวสไตล์วินเทจ โดยการนำเสื้อและกางเกงแนวย้อนยุคมามิกซ์แอนด์แมทช์ เพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจ และที่สำคัญยังดูเท่ ในสไตล์เก๋า ๆ อีกด้วย ซึ่งวันนี้เรามีไอเดีย 10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์ วินเทจ ที่ใส่แล้วรับประกันความ Cool ได้ตลอดทั้งเดือนแน่นอน

วินเทจ (Vintage) ที่เราพูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน มาจากคำว่า Vendage (วองดองซ์) หมายถึงการเก็บเกี่ยวองุ่นในภาษาฝรั่งเศส ตามข้อมูลจากหนังสือโลกของไวน์ Vintage (Vint+age) หมายถึงปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นและผลิตไวน์ ดังนั้นเมื่อนำมาใช้เรียกแฟชั่นเสื้อผ้าในยุค 1920 ถึง1980 จึงมีนัยสำคัญถึงสไตล์ของเสื้อผ้าที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งดูดีมีราคานั่นเอง ไม่เหมือนชุดนักฟุตบอลที่นักเตะดังๆทั่ง อัลบาโร่ โมราต้า เมสซี้ ฟานไดจ์ รวยจากการเตะแค่ไหนก็ต้องใส่ชุดบอลเวลาลงสนามที่ไม่มีความแปลกใหม่ นอกจากจะใช้เรียกแฟชั่นเสื้อผ้าแล้ว วินเทจยังสะท้อนรสนิยมของผู้ที่ชื่นชอบเครื่องใช้และของสะสมในยุคโบราณ เช่น รถยนต์ นาฬิกา โคมไฟ และเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนแฟชั่นเสื้อผ้า ที่นำมามิกซ์แอนด์แมทช์ ทั้ง 10 แบบมีดังต่อไปนี้

  1. เสื้อยืดสกรีนลายวินเทจ ใส่กับกางเกงยีนส์ กางเกงผ้า หรือกางเกงเอวสูง ก็ดูดี
  2. เสื้อเชิ้ตลายดอกกับกางเกงเอวสูง ชายกางเกงปล่อยให้เป็นริ้ว ๆ รุ่ย ๆ หรือกางเกงยีนส์ขาบานก็ดูเท่ได้ทุกแนว
  3. เสื้อยืดสายเดี่ยวสีขาวหรือดำ ใส่กับกระโปรงปักลายดอกไม้สีสันสดใส ก็เปรี้ยวแซ่บย้อนยุคไปอีกแบบ
  4. เสื้อสายเดี่ยวหรือคอกลมลายขวาง ใส่กับกางเกงยีนส์ขาบาน ก็ดูเท่แบบน่ารัก ๆ
  5. เสื้อกล้ามสีสันสดใส ใส่กับกางเกงยีนส์เอวสูง แถมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนังทรงวินเทจอีกสักคู่ แบบปลาเก๋ายังต้องเรียกพี่
  6. เสื้อครอปปาดไหล่ กับกางเกงยีนส์สีซีดทรงพอง ๆ หลวม ๆ หรือกางเกงยีนส์เอวสูง ขาบานก็ดูดี
  7. ชุดเดรสลายจุด หรือลายดอกไม้เล็ก ๆ ตลอดทั้งตัว ก็ดูวินเทจปนเซ็กซี่แบบเบา ๆ ไม่ซ้ำใคร
  8. เสื้อเชิ้ตสีพื้นหรือลายสก๊อตผูกเอว ใส่กับกางเกงสีดำเอวสูง หรือยีนส์ทรงกระบอกพับขาตัวพอง ๆ
  9. เสื้อแขนกุดโทนสีดำ ใส่กับกางเกงเอวสูง ดูเท่แบบลึกลับชวนค้นหา
  10. เสื้อ Blouse ผ้าชีฟอง มีระบาย หรือเสื้อลูกไม้ กับกระโปรง Middle skirt ไม่ว่าจะเป็นผ้าพริ้ว ๆ หรือกระโปรงยีนส์ ขาบาน ก็คูลสุด ๆ ไปเลย

สำหรับใครที่ชอบจัดหนักจัดเต็ม ก็อาจจะเพิ่มดีกรีความแซ่บได้อีกนิดด้วยผ้าพันคอ หมวก หรือกระเป๋าผ้าสะพายเท่ ๆ อีกสักใบ แต่ถ้าไม่ชอบแนวหวาน ๆ แนะนำเสื้อยืดพิมพ์ลายของวงดนตรีร็อคมือสองใส่กับยีนส์ขาสั้นรุ่ย ๆ หรือเสื้อยืดลายกราฟิกสวย ๆ นำมามิกซ์แอนด์แมทช์กับกระโปรงหรือกางเกงผ้าทรงโบราณที่มีอยู่วน ๆ ไป เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีเสื้อผ้าแฟชั่นย้อนยุคสไตล์วินเทจใส่ได้ไม่ซ้ำใครเป็นเดือน ๆ เลยทีเดียว

7 ทักษะสำหรับคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่

7 ทักษะสำหรับคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่

ในยุคนี้โลกออนไลน์กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของมนุษย์เราไปโดยปริยาย จนหลายคนผันตัวเองมาสู่อาชีพนักเขียนและคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่ ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เหล่านักเขียนได้รับมุมมองใหม่ ๆ และสามารถนำไปใช้พัฒนาทักษะการทำงานมี 7 ข้อดังต่อนี้

1.อ่านให้มาก และเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Editorial Content และ Marketing Content สำหรับ Editorial Content เป็นการนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ที่สื่อหรือกองบรรณาธิการ ต้องการเผยแพร่ไปสู่สังคม ส่วน Marketing Content เป็นการนำเสนองานเขียนในเชิงโปรโมทเพื่อการตลาด

2.รักในสิ่งที่ทำและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ใช้วิจารณญาณกลั่นกรองคอนเทนต์ โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องการให้ชีวิตดีขึ้น ในแง่มุมไหน อย่างไร เมื่อเราค้นพบคำตอบที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยในการทำชีวิตให้ดีขึ้น ก็จะตอบโจทย์ของเป้าหมายในการสื่อสาร

3.เตรียมข้อมูลให้พร้อม และเปิดรับประสบการณ์งานเขียนในทุก ๆ แนว เพราะประสบการณ์จากการลองทำงานเขียนหลายแบบและสไตล์ จะทำให้คุณได้พัฒนาฝีมือและทักษะในการเขียนให้เก่งขึ้นได้

4.วางโครงเรื่องและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน โดยวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป็นหมายเป็นใคร มีอาชีพอะไร ต้องการอะไร แล้วสร้างคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น การสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับที่พักสำหรับคนรักแมว เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงแมวได้มาอ่าน ผลลัพธ์ต่าง ๆ ก็จะตามมา

5.เขียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก ความสม่ำเสมอมีผลต่อการรักษามาตรฐานของผลงาน และสร้างการรับรู้มากขึ้น สำหรับบางคนเมื่อเกิดความชำนาญก็จะสามารถวางโครงสร้างและลงมือทำได้ โดยไม่ต้องรอให้มีอารมณ์เขียนและคัดเลือกผลงานมาทำเป็น Portfolio เก็บไว้เผยแพร่

6.คอนเทนต์ที่นำเสนอต้องเข้าใจง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะเกินไป นำเสนอเนื้อหาที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเสียเวลาในการอ่านและการตีความมากนัก เนื้อหาที่เข้าใจยากจะทำให้ลดความน่าสนใจของเนื้อหาลงไป

7.วางแผนการโพสต์ให้ถูกที่ถูกเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่า การอ่านก็เช่นกัน นอกจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังต้องรู้ถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้คอนเทนต์ได้รับความสนใจและนำไปใช้ได้ เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในวัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี คอนเทนต์จึงควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาระน่ารู้ในชีวิตประจำวัน โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ช่วงเวลาเดินทางประมาณ 7.00-9.00 น. เพราะส่วนใหญ่กลุ่มคนทำงานนิยมใช้มือถือในระหว่างการเดินทาง

นักเขียนที่ดี มีต้นกำเนิดมาจากนักอ่านที่ดี สั่งสมประสบการณ์และต้นทุนความรู้เพื่อนำมาใช้ในงานเขียนได้อย่างหลากหลาย มีเสน่ห์และมีอัตตลักษณ์เป็นของตนเอง เพียงเท่านี้คุณก็จะเป็นคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่ที่มีแฟนคลับเฝ้ารอที่จะอ่านอย่างแน่นอน

รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Life ตามสไตล์ New Normal

รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Life ตามสไตล์ New Normal

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องที่ต้องอัปเดตกันแบบนาทีต่อนาทีในยุคปัจจุบันนี้คือ เรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่อันตรายและแพร่กระจายไปทั่วโลก เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้นับแสนคน

ถึงแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่า ชีวิตของคนไทยเข้าสู่ระยะปลอดภัยได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนหรือตัวยารักษาได้อย่างชัดเจน ทางเดียวที่จะสามารถทำให้ทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตได้แบบปกติและปลอดภัยคือ การเลือกใช้ชีวิตแบบ New Normal อันเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ถูกบัญญัติขึ้นในยุคโควิด-19 ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเห็นเคยได้ยินคำศัพท์นี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่ก็อาจจะไม่รู้เลยว่า New Normal นี้คืออะไร และทำไมต้องใช้ชีวิตแบบสไตล์ New Normal

New Normal แปลได้อย่างตรงตัวหมายความว่า ความปกติใหม่ คือการใช้ชีวิตแบบปกติในรูปแบบใหม่ แน่นอนว่าต้องมีคนที่สงสัยอยู่ว่า การใช้ชีวิตปกติใหม่คืออะไร อธิบายแบบง่าย ๆ เลยว่าคือ การออกมาใช้ชีวิตประจำวันที่เคยทำกันแบบเป็นปกติภายใต้รูปแบบใหม่ที่ต้องถือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ชีวิตและห่างไกลจากเชื้อโควิด-19 นั่นเอง ซึ่งหลัก ๆ ของการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้แก่

  1. การสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าก่อนจะเกิดโควิด-19 มีประชาชนในเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน แต่ชีวิตแบบ New Normal หน้ากากอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็น
  2. เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคมมากยิ่งขึ้น จากเดิมนิสัยของคนไทยที่ชอบอยู่รวมกลุ่มกัน ปาร์ตี้สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน กลับกลายเป็นต้องเว้นระยะห่างต่อกันมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่สามารถส่งต่อได้ด้วยการจับหรือสัมผัสนั้นเอง
  3. หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านให้มากที่สุดเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งวิธีการนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับหลักการทำงานในบางบริษัท ที่จับวิธีการทำงานแบบ WFH (Work from Home) ขึ้นมาใช้ และเชื่อว่าในอนาคต การทำงานลักษณะนี้จะกลายเป็นชีวิตแบบปกติในอนาคต

นอกจาก 3 ข้อหลัก ๆ ข้างต้นแล้ว การใช้ชีวิตแบบ New Normal ยังมีอีกหลากหลายวิธี โดยเฉพาะการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ จะเห็นได้จากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงกอบโกยรายได้ของธุรกิจ Delivery เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้คนจะไม่ได้ออกจากบ้านก็ยังมีอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน และถึงแม้ว่าร้านอาหารจะไม่เปิดก็ยังมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัย และที่สำคัญ การใช้ชีวิตสไตล์ New Normal จะทำให้คนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นคุณมากกว่าโทษ

5 ต้นไม้ช่วยดูดมลพิษ ฟอกอากาศให้สดชื่น ปลูกเองได้ภายในบ้าน

5 ต้นไม้ช่วยดูดมลพิษ ฟอกอากาศให้สดชื่น ปลูกเองได้ภายในบ้าน

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าต้นไม้ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่คุณรู้ไหมว่าต้นไม้บางชนิดมีคุณสมบัติพิเศษอีกด้านหนึ่ง นั่นก็คือสามารถดูดสารพิษหรือมลพิษต่าง ๆ ได้และช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้อีกด้วย ที่สำคัญสามารถปลูกเองได้ที่บ้าน นอกจากจะช่วยดูดควันพิษแล้ว ยังใช้ประดับตกแต่งบ้านให้สวยงามได้อีกด้วย มาดูกันว่าต้นไม้ที่ว่านั้นมีต้นอะไรบ้าง

ต้นเศรษฐีเรือนใน

ถ้าไม่ใช่คนในวงการต้นไม้คงนึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นชื่อของต้นไม้ได้…ใช่แล้วนี่เป็นชื่อของต้นไม้แถมยังเป็นชื่อต้นไม้มงคลเสียด้วย เชื่อกันว่าถ้าใครปลูกต้นเศรษฐีเรือนในไว้ที่บ้านจะทำให้เกิดโชคลาภและคอยป้องกันภัยให้กับผู้ที่ปลูกด้วย นอกจากนี้เศรษฐีเรือนในยังช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ และแนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศโดยเฉพาะแพ้ฝุ่น ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ เป็นไม้ที่ปลูกไม่ยาก ดูแลง่าย 2-3 วันรดน้ำครั้ง สามารถปลูกในกระถางดินเล็ก ๆ ก็ได้

ต้นพลูด่าง

เป็นไม้เลื้อยที่แสนจะธรรมดาแต่มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาเลย สามารถดูดซับสารพิษในอากาศได้เป็นอย่างดี สามารถปลูกไว้ในห้องนอนได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งออกซิเจนเวลาที่เราหลับอีกด้วย ข้อสำคัญปลูกง่ายมาก จะปลูกกับดินหรือจะให้รากแช่น้ำก็โตได้ ไม่ต้องการแสงมาก เป็นพืชที่ทนกับทุกสภาพ ขอแค่มีน้ำเลี้ยงจะปลูกตรงไหนก็อยู่ได้ และโตได้เช่นกัน

ว่านหางจระเข้

เชื่อว่าเกือบทุกคนที่รู้ว่าว่านหางจระเข้นั้นใช้เป็นเจลสำหรับพอกหน้าเพื่อความสวยความงาม และเป็นสมุนไพรไว้ทาเวลาโดนน้ำร้อนลวกหรือแผลพุพองจากการโดนไฟไหม้ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษทางอากาศและช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ว่านหางจระเข้ยังปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืนและช่วยลดมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าใครอยากปลูกต้นไม้ไว้ในห้องนอนหรือริมหน้าต่าง ว่านหางจระเข้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

ต้นหนวดปลาหมึก

ฟังชื่อแล้วน่ากินใช่ไหมล่ะ…ต้นหนวดปลาหมึกมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการดูดซับสารพิษ ไม่ใช่แต่เพียงในไทยที่นิยมเท่านั้น ในต่างประเทศก็นิยมปลูกต้นหนวดปลาหมึกนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเลี้ยงเหมือนต้นบอนไซ สามารถปลูกในห้องนอนได้ด้วย ที่สำคัญไม่แย่งอากาศเราเวลานอน

ต้นเขียวหมื่นปี

เป็นต้นไม้ที่อายุยืนจนได้ชื่อว่าเป็นต้นเขียวหมื่นปี เพราะมีลักษณะที่ทนทาน ตายยาก สามารถเจริญเติบโตได้แม้อยู่ในที่ไม่มีแสงแดด ข้อสำคัญคือสามารถฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้ตลอดเวลา ใครที่ไม่ค่อยมีเวลาแต่อยากมีต้นไม้ปลูกไว้ในบ้านบ้าง ก็ลองหาต้นเขียวหมื่นปีมาปลูกได้ ไม่ต้องดูแลหรือทะนุถนอมมากเหมือนไม้ประดับอื่น ๆ

สำหรับผู้ที่อยากสร้างโอโซนในพื้นที่ส่วนตัวหรืออยากให้บ้านหรือห้องนอนมีอากาศที่บริสุทธิ์ ก็ลองหาต้นไม้ตามที่กล่าวมาปลูกกันได้ นอกจากจะช่วยฟอกอากาศและดูดสารพิษแล้ว ยังให้ความร่มรื่นและทำให้เราสดชื่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ต้นไม้อีกด้วย

Smart Watch ผู้ช่วยตัวจริงของคนรักสุขภาพ

Smart Watch ผู้ช่วยตัวจริงของคนรักสุขภาพ

หนึ่งในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ผู้คนนิยมเลือกใช้ประจำตัวจนกลายเป็นเสมือนแฟชั่นยุคใหม่ไปแล้ว ก็คือ “Smart Watch” นาฬิกาสุขภาพ ที่มีให้เลือกหลายสไตล์ หลายระดับราคา และฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกัน เลือกได้ทั้งรูปลักษณ์ที่เป็นนาฬิกาและเป็นแบบสายรัดข้อมือ

เปิดฟังก์ชันการดูแลสุขภาพของ Smart Watch

นาฬิกาสุขภาพ หรือ Smart Watch นี้จะมีฟังก์ชันการทำงานหลายอย่างที่ช่วยในการดูแลสุขภาพได้อย่างดี โดยเฉพาะการนับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน ซึ่งเป็นฟังก์ชันสุดฮิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรักสุขภาพที่มักจะพยายามเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าวต่อวัน ตามคำแนะนำทางการแพทย์เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี, ฟังก์ชันตรวจวัดปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ , ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดการนอนหลับพักผ่อนในแต่ละวัน และบางรุ่นของ Smart Watch จะมีฟังก์ชันวัดความดันโลหิตให้ด้วย

ข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่นาฬิกา Smart Watch เหล่านี้จะเชื่อมต่อไปยังแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือด้วยระบบบลูทูธ เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลไว้เป็นสถิติเพื่อแปรผลเป็นข้อมูลพื้นฐานช่วยในการวินิจฉัยเพื่อรักษาโรคประจำตัวได้

เหตุผลที่ผู้คนหันมานิยมใช้ Smart Watch

Smart Watch เป็นหนึ่งสินค้าที่อยู่ในกลุ่ม Wearable Device ที่กำลังมาแรงในยุคดิจิทัล อุปกรณ์ในกลุ่มนี้จะใช้ระบบ “IoT” หรือ Internet of Thing ซึ่งหลายคนเรียกว่าระบบ อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง เป็นพื้นฐานการทำงานที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันมีความสะดวกสบายขึ้น และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนสุขภาพมาก ด้วยความที่ Smart Watch เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ง่ายและสามารถใช้แทนนาฬิกาได้ จึงทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับอุปกรณ์ Wearable Device ตัวนี้ได้ง่ายกว่า นั่นจึงทำให้ Smart Watch กลายเป็นตัวช่วยหลักของคนรักสุขภาพไปแล้ว ด้วยประโยชน์ที่โดดเด่นของ Smart Watch ต่อไปนี้

เหตุผลที่ผู้คนหันมานิยมใช้ Smart Watch

  • สามารถเก็บข้อมูลการออกกำลังกายไว้เป็นสถิติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นในการออกกำลังกายหรือการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อาทิ สถิติการวิ่งที่เคยทำไว้ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ จะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการขยายเวลาหรือระยะทางให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นพัฒนาการการออกกำลังกายของตัวเอง จนทำให้มีสุขภาพดี ลดการเจ็บป่วยลงได้ในที่สุด
  • เป็นระบบที่สามารถใช้ จีพีเอส ติดตามได้ โดยเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ฟังก์ชั่นแบบนี้จะช่วยในการติดตามพิกัดตำแหน่งของผู้สวมใส่นาฬิกาได้ตลอดเวลาจึงนิยมใช้กับเด็กหรือ ผู้สูงวัย ที่มีโอกาสพลัดหลงได้ง่าย
  • การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบบลูทูธ ทำให้สามารถตั้งการแจ้งเตือนกรณีมีข้อความ, อีเมล หรือมีโทรศัพท์เข้ามา โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ฟังก์ชันนี้นอกจากจะเพิ่มความสะดวกแล้ว ยังทำให้คนที่กำลังขับรถปลอดภัยมากขึ้นด้วย

ราคาของนาฬิกา Smart Watch มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น และกำลังเป็นผู้นำในแฟชั่นนาฬิกายุคปัจจุบัน เพราะ Smart Watch นอกจากเป็นนาฬิกาที่สวยงาม บางยี่ห้อก็สามารถทำให้ปรับรูปโฉมหน้าปัดได้ตามความชอบแล้ว ก็ยังเป็นตัวช่วยหลักในการดูแลสุขภาพให้กับคนยุคใหม่ด้วย

อาหารแบบไหนที่ควรใส่บาตรหรือเลี้ยงพระ

อาหารแบบไหนที่ควรใส่บาตรหรือเลี้ยงพระ

จากข้อมูลตัวเลขพระสงฆ์ที่อาพาธด้วยโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (กลุ่มโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหัวใจ) ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุหลักมาจากการบริโภคที่ไม่เหมาะสม ซึ่งพบว่ามีจำนวนสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ที่รับการรักษาในรพ.สงฆ์ เมื่อปีที่แล้ว พบว่า 3 อันดับโรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุด คือ โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน และทำให้เกิดการรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนคัดเลือกอาหารเพื่อใส่บาตรทำบุญกับพระ ให้เน้นในเรื่องของกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากพระสงฆ์และสามเณรจะต้องฉันอาหารที่บรรดาญาติโยมถวายให้เท่านั้น

อาหารที่ควรตักบาตรหรือถวายพระ

เพื่อให้พระสงฆ์ และสามเณรมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลดอาการอาพาธจากการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรังยอดฮิต จึงควรปรับอาหารที่ถวายพระให้เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้แก่

ข้าวกล้อง ข้าวไม่ขัดสี เป็นข้าวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวขาว เพราะมีวิตามิน และปริมาณเส้นใยอาหารสูงกว่าข้าวขาวทั่วไป หรืออาจเลือกเป็นข้าวเสริมวิตามินซึ่งเป็นกลุ่มอาหารสุขภาพแบบ Functional Food ที่กำลังมาแรง ก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพของพระสงฆ์มากขึ้น

เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน โดยเฉพาะมันหมู หมูสามชั้น หรือหนังไก่ ถ้าจะให้ดีควรเปลี่ยนเป็นเนื้อปลาที่สามารถย่อยได้ง่ายมากกว่า จะดีต่อสุขภาพของพระสงฆ์มาก

อาหารที่ปรุงโดยลดปริมาณโซเดียมลง เพราะจะมีผลกระทบต่อการทำงานของไต หากปรุงอาหารเพื่อใส่บาตรเอง ก็ควรลดการเติมสารปรุงแต่ง เช่น ซอส ซีอิ้ว ซอสมะเขือเทศ น้ำจิ้มสุกี้ น้ำปลาลง แต่หากจะต้องซื้อจากร้านเพื่อใส่บาตรพระ ก็ควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกอาหาร ยิ่งอาหารประเภทหมักดอง อาหารแช่แข็ง หากเลือกได้ก็ควรหลีกเลี่ยง

อาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง จะให้สุขภาพที่ดีกว่า อาหารประเภทผัดหรือทอดที่ต้องใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ และที่สำคัญ ควรเลี่ยงอาหารที่ทำจากกะทิ ไม่ว่าจะเป็นแกงต่าง ๆ รวมถึงขนมหวานแบบไทย ๆ ที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบหลัก ก็ไม่ดีต่อสุขภาพของพระสงฆ์เช่นเดียวกัน

ผลไม้ การเลือกผลไม้เพื่อถวายพระสงฆ์ นอกจากจะดูตามฤดูกาลแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความหวานด้วย ผลไม้ที่มีความหวานมาก เช่น ทุเรียน ขนุน และลำไย จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของพระสงฆ์ได้ จึงควรเลี่ยง และเลือกผลไม้กลุ่มที่ไม่หวานมาก อย่าง ฝรั่ง ชมพู่ มะม่วงดิบ แทนจะดีกว่า

น้ำ คนส่วนใหญ่นิยมตักบาตรพร้อมน้ำอยู่แล้ว ซึ่งน้ำที่ควรถวายพระ ไม่ควรเป็นน้ำหวาน หรือ น้ำอัดลม การถวายน้ำเปล่าถือว่าดีอยู่แล้ว แต่หากจะเน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาจเลือกเป็นพวกน้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มธัญพืชที่ไม่เน้นความหวาน ก็สามารถทำได้

หากญาติโยมช่วยกันปรับเปลี่ยนอาหารที่จะใส่บาตรหรือเลี้ยงพระ ให้เน้นไปในแนวสุขภาพ โดยเฉพาะเน้นไปที่ผักและผลไม้ จำนวนพระสงฆ์ที่จะอาพาธด้วยกลุ่มโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ก็มีแนวโน้มจะลดลงได้

อาหารแบบไหนที่ควรใส่บาตรหรือเลี้ยงพระ