5 สุดยอดข้อดีของกาแฟดำที่ไม่ใช่แค่ดื่มแล้วกระฉับกระเฉง

5 สุดยอดข้อดีของกาแฟดำที่ไม่ใช่แค่ดื่มแล้วกระฉับกระเฉง

การดื่มกาแฟ นับเป็นวัฒนธรรมการดื่มอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยกาแฟเป็นเครื่องดื่มสุดคลาสสิก เต็มไปด้วยเสน่ห์ของกลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และเสน่ห์เหล่านี้ทำให้มีผู้นิยมดื่มกาแฟจำนวนมาก โดยนอกจากรสชาติและความหอมของกาแฟแล้ว หลายคนอาจไม่ทราบว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากมายที่ไม่ใช่แค่ดื่มแล้วทำให้ตื่นตัวกระฉับกระเฉงเท่านั้น โดยเฉพาะกาแฟดำอันเป็นเครื่องดื่มแก้วโปรดของใครหลายคน

5 สุดยอดข้อดีของกาแฟดำที่คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด

  1. ตัวช่วยเพื่อการลดน้ำหนัก
    ไม่ต้องแปลกใจหากเห็นใครกำลังลดน้ำหนักแล้วเลือกดื่มแต่กาแฟดำแบบปราศจากน้ำผึ้งหรือน้ำตาล นั่นเพราะกาแฟดำมาพร้อมปริมาณแคลอรีน้อย ดื่มได้โดยไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม นอกจากนี้ยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกายได้อีกด้วย
  2. ป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ
    ไม่เพียงแต่การเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักเท่านั้น การดื่มกาแฟดำยังช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดี หรือ HDL ลดปริมาณคอเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิดโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดอุดตัน และโรคหลอดเลือดแข็งตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้ความจำดี มีสมาธิ และลดโอกาสการเกิดอัลไซเมอร์อีกด้วย
  3. บรรเทาอาการปวดศีรษะ
    เมื่อมีอาการปวดหัว หลายคนเลือกดื่มกาแฟดำ เพื่อเป็นตัวช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว นั่นเพราะกาแฟดำมีส่วนผสมของคาเฟอีน ซึ่งคาเฟอีนจะช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้อาการปวดหัวค่อย ๆ ทุเลา นอกจากนี้กาแฟดำยังช่วยแก้อาการเมาค้าง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักดื่ม
  4. จัดเต็มสารอาหารดี ๆ สู่ร่างกาย
    นอกจากคาเฟอีนแล้ว ในกาแฟดำยังจัดเต็มสารอาหารมากมายเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ แมกนีเซียม โพแทสเซียม และยังมีวิตามิน B2 และ B3 ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยขับปัสสาวะ ซึ่งช่วยขับสารพิษออกสู่ร่างกาย
  5. เครื่องดื่มชะลอวัยที่ใคร ๆ ก็ดื่ม
    ใครอยากแก่ช้า ผิวพรรณสวยงามมีชีวิตชีวา ห้ามพลาดดื่มกาแฟดำเป็นประจำ เพราะเมื่อกาแฟดำเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้เครื่องดื่มแก้วนี้คือเครื่องดื่มช่วยชะลอวัย เพราะมีส่วนทำให้ออกไซด์แตกตัว ช่วยชะลอความแก่และทำให้ผิวหนังเต่งตึง

จะเห็นได้ว่ากาแฟนับดำเป็นเครื่องดื่มอัดแน่นด้วยประโยชน์ดี ๆ มากมายที่ไม่ใช่ดื่มแล้วทำให้กระปรี้กระเปร่าเท่านั้น โดยหากใครไม่สามารถดื่มกาแฟดำได้ อาจเติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลเพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่สำหรับใครที่ชอบดื่มกาแฟใส่นม เช่น ลาเต้ มอคค่า แนะนำว่าควรจำกัดปริมาณการดื่ม เพราะอย่าลืมว่ากาแฟบางประเภทมีรสหวาน ซึ่งหากดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน

นิสัยการออมแบบไหนคือรากฐานความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริง

นิสัยการออมแบบไหนคือรากฐานความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริง

นิสัยการออมเป็นเรื่องที่ดีเพราะเงินออมมีประโยชน์ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเก็บเงินเรียนต่อ เป็นทุนเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือแม้แต่การช้อนซื้อหุ้นที่มีทิศทางขาลงเพื่อหวังเก็งกำไร ความร่ำรวยไม่ได้มาด้วยโชคลาภแต่เป็นการลงทุนให้เกิดผลกำไร การมีเงินออมไว้ใช้ในจังหวะเวลาเหมาะสมจึงเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินอย่างแท้จริง

เมื่อถึงวัยทำงานมีรายได้ ทุกคนควรตระหนักว่าการออมเงินควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ แม้ว่าการสร้างครอบครัว ซื้อบ้าน ผ่อนรถ เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ แต่ส่วนหนึ่งต้องเก็บเป็นเงินออมไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือพบโอกาสทองที่จะลงทุนให้เงินงอกเงยได้ แนะนำให้เริ่มต้นจากเงินออมก้อนเล็กแล้วค่อย ๆ สะสมเพิ่มพูนเพื่อใช้เป็นต้นทุนต่อยอดให้เกิดดอกออกผลในอนาคต เพราะเงินออมในวันนี้จะมีค่าน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไปอีก 10 ปีข้างหน้า หัวใจสำคัญของการออมคือต้องเข้าใจมูลค่าของเงินที่ลดลงไปตามวันเวลา เป้าหมายของเงินออมต้องขยับเพิ่มขึ้น ยิ่งเป้าหมายเติบโตมากเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น นั่นคือเคล็ดลับการประหยัดเงินอย่างถูกวิธี

หลักการออมเงินที่ดีควรมีการบันทึกค่าครองชีพในช่วง 3 เดือนถึง 6 เดือนซึ่งเป็นแผนระยะสั้นที่ง่ายต่อการประเมินรายได้กับค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แล้วหักลบเพื่อให้รู้ถึงจำนวนเงินที่ประหยัดได้ในแต่ละเดือน เทคนิคนี้เรียกว่าจ่ายเงินให้ตัวเองก่อน เมื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นในชีวิตไปแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสร้างวินัยในการออมเงินเพราะรู้ว่าจะประหยัดได้เท่าไรและควรจะเพิ่มเป้าหมายเป็นเท่าไรในอนาคต

หลายครั้งที่ชีวิตควบคุมไม่ได้ อาจมีเหตุการณ์และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้การออมเงินก้อนใหญ่เป็นเรื่องยาก หากมีความมุ่งมั่นที่จะมีอิสรภาพทางการเงินในอนาคต และไม่อยากกังวลว่าเงินจะขาดมือ ก็จำเป็นต้องประหยัดเป็นกิจวัตรโดยลดค่าใช้จ่ายประจำวันในแบบที่ไม่ทำให้ชีวิตลำบากและตึงเครียดเกินไป จึงจะเป็นวิธีการช่วยประหยัดเงินได้ง่ายขึ้น เช่น ขึ้นรถตู้แทนรถแท็กซี่ ดื่มกาแฟสำเร็จรูปแทนกาแฟสด เมื่อตัดสินใจว่าจะเริ่มออมเงินควรตั้งค่าโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนไปยังบัญชีเงินออมทุกเดือน หากใช้บัตรเครดิต ควรชำระยอดเงินเต็มจำนวนทุกเดือนและเลือกบัตรที่ให้คะแนนตามยอดซื้อสินค้าเพื่อใช้ส่วนลดและรับเงินคืนได้ รวมถึงใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึกอัตโนมัติเพื่อให้ตรวจสอบเงินออมและค่าใช้จ่ายได้สะดวกง่ายดาย

นิสัยการออมเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และมีวินัยเก็บออมเงินอย่างต่อเนื่อง วิธีจัดการกับเงินออมมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงและความสำเร็จทางการเงินในอนาคต ถ้ามีเงินออมหรือหลักทรัพย์ที่ปลอดภัยอยู่ในมือ แน่นอนว่าความเครียดและวิตกกังวลจะลดลงแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากมีสภาพคล่องเพียงพอและมีโอกาสใช้เงินลงทุนทำกำไรในขณะที่คู่แข่งอื่น ๆ ก้าวถอยหลัง

เคล็ดลับข้อสุดท้ายคือ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองทุกครั้งเมื่อเงินออมแตะระดับเป้าหมายที่ต้องการ จากนั้นตั้งเป้าหมายลำดับต่อไปแล้วออมเงินอย่างต่อเนื่อง

อยากมีเงินเก็บมากขึ้น ต้องทำอย่างไรดี

อยากมีเงินเก็บมากขึ้น ต้องทำอย่างไรดี

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนอยากมีฐานะมั่นคงทางการเงินและต้องการมีเงินเก็บเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉินในอนาคตด้วย เราจึงรวบรวมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาฝากกัน เพื่อให้ผู้อ่านนำไปปรับใช้ให้มีเงินเก็บมากขึ้นได้ ดังนี้

1.ออมเงินเหรียญ
เงินทอนที่เป็นเงินเหรียญเมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่าหลักพันต่อเดือนได้ จึงขอให้มีกระปุกสำหรับใส่เหรียญไว้ แม้จะครั้งละบาท ห้าบาท สิบบาท แต่เมื่อนำมารวบรวมเป็นประจำทุกเดือน แล้วไปฝากธนาคารต่อ คุณจะเห็นตัวเลขเงินในบัญชีเพิ่มขึ้นได้ปีละหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว

2.สร้างรายได้เสริม
ปัจจุบันเพียงมีโทรศัพท์มือถือกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต คุณก็สามารถสร้างรายได้เสริมได้แล้ว เช่น รับจ้างผลิตบทความ SEO รับหน้าที่เป็นแอดมินดูแลเพจต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก หากคุณชอบท่องเที่ยวหรือกินอาหารร้านต่าง ๆ ก็สามารถอัดคลิปรีวิวสถานที่นั้น ๆ นำขึ้นช่อง YouTube สร้างรายได้ได้เดือนละหลายพันบาท หรือหากชอบทำกับข้าวก็สามารถที่จะโพสต์รับออเดอร์ผ่านเฟซบุ๊กได้เช่นกัน

3.เรียนรู้เรื่องเล่นหุ้น
หากมีความรู้ด้านการเล่นหุ้น ก็สามารถสร้างรายได้ผ่านโปรแกรมซื้อขายหุ้นในมือถือ ทำให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ ต้องศึกษาหาความรู้และฝึกฝนอย่างเป็นระบบเพื่อลงทุนอย่างมีสติและไม่ประมาท และต้องมีกติกากับตัวเองในการนำเงินที่ได้จากกำไรหรือการปันผลมาเก็บเป็นเงินออมที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า จะทำให้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้นได้ด้วย

4.ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
สิ่งพื้นฐานที่หลายคนมองข้ามคือการทําบัญชีรายรับรายจ่ายที่รัดกุม เมื่อจดรายรับรายจ่ายจะทำให้คุณสามารถมองเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ดีขึ้น ว่าเสียค่าใช้จ่ายไปกับสิ่งใดเกินจำเป็น เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ค่าเชื้อเพลิง เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ซึ่งการที่หลายคนเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากก็เพราะไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่าย ดังนั้น หากมีวินัยในการทำบัญชีตั้งแต่วันนี้ จะทำให้มีเงินออมมากขึ้นอย่างแน่นอน

5.เพิ่มทักษะความรู้ใหม่ ๆ
หากคุณพิจารณาแล้วว่าตัวเองไม่มีทักษะโดดเด่นในด้านใด ก็ควรเพิ่มทักษะใหม่ ๆ ให้แก่ตัวเองด้วยการลงเรียนคอร์สต่าง ๆ หรือหาแรงบันดาลใจจากการดูคลิป YouTube ต่าง ๆ จะทำให้คุณวิเคราะห์ตัวเองง่ายขึ้น เมื่อพัฒนาตัวเองในสิ่งที่ชอบหรือสนใจจนเกิดเป็นผลลัพธ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา นอกจากสร้างความภูมิใจแล้ว ยังสร้างรายได้และทำให้มีเงินเก็บมากขึ้นได้ในไม่ช้า

จะเห็นได้ว่าวิธีที่แนะนำข้างต้นนั้นไม่ได้มาจากการเก็บออมอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการเพิ่มรายได้และควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสมด้วย ทั้งยังต้องพัฒนาตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้มีความสามารถหลากหลาย ซึ่งจะทำให้มีช่องทางสร้างรายได้และมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขมิ้นชัน กินตามเข็มนาฬิกา ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย

ขมิ้นชัน กินตามเข็มนาฬิกา ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย

ขมิ้นชัน พืชสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ประโยชน์มากมายมหาศาล มีสีเหลืองเข้มและกลิ่นหอมอ่อน ๆ นอกจากประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ขมิ้นชันยังเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ด้วยสรรพคุณที่โดดเด่นในการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งมีข้อปลีกย่อยในการกินทั้งในเรื่องของเวลาและปริมาณ โดยมีคำแนะนำให้กินขมิ้นชันตามเข็มนาฬิกา เพื่อช่วยรักษาสมดุลให้กับร่างกาย แต่จะกินอย่างไรเมื่อไรถึงจะมีประสิทธิภาพ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มาแนะนำ

ขมิ้นชัน อุดมไปด้วยวิตามิน เอ และ ซี ที่สำคัญคือสารคูเคอร์มิน (Curcumin) ที่ช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการสะสมไขมันที่ตับ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ ขมิ้นชันยังมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการกรดไหลย้อน รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องเสีย แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อย่างได้ผลดี

ส่วนทฤษฎีนาฬิกาชีวิตที่ตำราแพทย์แผนจีนพูดถึงนั้น มีหลักการที่สัมพันธ์กับการทำงานของอวันวะภายในร่างกายของมนุษย์ โดยเชื่อว่าตลอด 24 ชม.จะมีการไหลเวียนของพลังงานชีวิตไปตามอวัยวะต่าง ๆ สลับกันไปทุก ๆ 2 ชั่วโมง ได้แก่ หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก และกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น

ช่วงเวลา ตี 1 ถึง ตี 3 ลมปราณจะโคจรไปที่ตับ ช่วงเวลา ตี 3 ถึง ตี 5 เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณโคจรไปที่ปอดจากนั้นอีก 2 ชั่วโมงก็จะไปที่ลำไส้ใหญ่ และโคจรไปตามอวัยวะอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องเช่น กระเพาะอาหาร, ม้าม, หัวใจ, ลำไส้เล็ก, กระเพาะปัสสาวะ,ไต, เยื้อหุ้มหัวใจ, ซานเจียว (ไฟธาตุทั้งสาม),และถุงน้ำดีตามลำดับ, หากต้องการใช้ขมิ้นชันเพื่อการรักษาและฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ควรนำทฤษฏีนาฬิกาชีวิตมาปรับใช้ในการกินขมิ้นชันดังนี้

หากกินขมิ้นในระหว่างเวลา ตี 3 ไปจนถึงตี 5 จะช่วยบำรุงปอด แก้โรคภูมิแพ้ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเวลา, ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า ลมปราณโคจรไปที่ลำไส้ใหญ่ ขมิ้นชันจะช่วยให้ปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ได้รับการฟื้นฟู ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น, เวลา 7 โมง ไปจนถึง 9โมงเช้า ขมิ้นชันจะช่วยลดอาการท้องอืด แน่นท้อง และช่วยรักษาาอาการอักแสบจากแผลในกระเพาะอาหารได้ เวลา 9 โมงเช้า ถึง 11 โมง ลมปราณโคจรไปที่ม้าม ขมิ้นชันจะเข้าไปช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงม้ามให้แข็งแรง, หากกินขมิ้นชันเวลา 11โมง ถึงเวลาบ่ายโมง ลมปราณโคจรไปที่หัวใจ และอวัยวะใกล้เคียงเช่น ตับ และปอดก็จะได้รับการฟื้นฟูด้วย, การกินขมิ้นชันเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง ช่วยลดการเกิดแก๊สในลำไส้เล็ก ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้, ในเวลาบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น ลมปราณจะโคจรไปที่กระเพาะปัสสาวะ กินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้ จะช่วยลดอาการตกขาว ทำให้หูรูดแข็งแรงและบำรุงกระเพาะปัสสาวะ

ดังนั้นการปรับใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน จะช่วยให้เกิดสมดุลในร่างกายอย่างแท้จริง ช่วยให้การดำเนินชีวิตราบรื่นด้วยการมีสุขภาพดี และมีอายุยืนยาวต่อไปได้

เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้

เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้

คุณแม่มือใหม่จำนวนมากมีปัญหาน้ำหนักส่วนเกินหลังคลอด ทำให้ไม่มั่นใจในการใส่เสื้อผ้า และยังสร้างความกังวลใจอย่างมากว่าจะลดน้ำหนักลงไปให้เท่าก่อนตั้งครรภ์ไม่ได้

เราจึงได้รวบรวมเทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดที่คุณแม่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้มาฝากกัน ดังนี้

  1. ให้ทารกดื่มนมจากเต้า

มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์พบว่า แม่ที่ให้น้ำนมลูกด้วยตัวเอง จะทำให้ร่างกายดึงพลังงานไปใช้ได้มากขึ้น กระบวนการเผาผลาญโดยรวมจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะร่างกายต้องผลิตน้ำนมไหลเวียนตลอดเวลาให้เพียงพอต่อทารก นอกจากนี้ การให้ลูกดูดนมจากเต้า ยังทำให้เด็กได้รับความอบอุ่นและได้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงและกระตุ้นระบบย่อยอาหารของทารกให้ทำงานสมบูรณ์ด้วย

  1. เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง

การเลี้ยงทารกจะต้องเรียนรู้ธรรมชาติว่า เด็กวัยนี้จะตื่นนอนบ่อยทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากวงจรการนอนหลับสั้นกว่าผู้ใหญ่ และการควบคุมระบบขับถ่ายยังทำได้ไม่ดี ทำให้ปัสสาวะอุจจาระบ่อยเช่นกัน ดังนั้น หากคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง จะทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากขึ้น จึงลดน้ำหนักส่วนเกินได้ภายใน 3 ถึง 6 เดือนเลยทีเดียว

  1. ออกกำลังกายวันละ 30 นาที

การออกกำลังกายในผู้หญิงหลังคลอดนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่หลังคลอด 2-3 วันหากคลอดบุตรโดยวิธีธรรมชาติ แต่ถ้าคลอดโดยการผ่าตัดต้องรอประมาณ 3 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนถึงรอยแผลที่เย็บ โดยการออกกำลังกายของแม่หลังคลอดทำได้หลายประเภท ตั้งแต่ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เล่นโยคะ ฯลฯ เพียงวันละ 30 นาที ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้แก่ร่างกายได้ทุกส่วน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหักโหมเกินไป ให้ค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาตามความแข็งแรงของร่างกายจะดีที่สุด

  1. ปรับเมนูอาหาร

ในช่วงที่ตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนรับประทานอาหารปริมาณมากขึ้น เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารต่าง ๆ เพียงพอสำหรับการบำรุงทารกในครรภ์ แต่เมื่อคลอดแล้ว ต้องปรับเมนูอาหารให้มีไขมัน แป้ง น้ำตาลลดลง เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้สดมากขึ้น เลือกดื่มนมสูตรไขมันต่ำหรือน้ำตาล 0% และงดการดื่มน้ำอัดลม

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อทุกคน หลังการคลอดลูก ร่างกายของแม่ต้องการน้ำที่เพียงพอในการช่วยให้ปฏิกิริยาการเผาผลาญสารอาหารได้ดีขึ้น กระตุ้นการขับถ่ายของเสียหรือดีทอกซ์ได้อย่างสมบูรณ์ จึงไม่ควรมองข้ามการดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 6-8 แก้ว

การลดน้ำหนักของคุณแม่หลังคลอดไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เพียงรู้เทคนิคที่เรากล่าวมาแล้วนำไปปรับใช้เป็นประจำ ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 5-10 กิโลกรัม ช่วยให้กลับมาหุ่นดีได้เหมือนเดิม ที่สำคัญคือ ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เป็นการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีด้วย

10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์วินเทจ Cool ได้ เท่ด้วย

10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์วินเทจ Cool ได้ เท่ด้วย

สไตล์การแต่งตัวย้อนยุคของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากดาราหรือไม่ก็เน็ตไอดอลที่นิยมแต่งตัวสไตล์วินเทจ โดยการนำเสื้อและกางเกงแนวย้อนยุคมามิกซ์แอนด์แมทช์ เพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจ และที่สำคัญยังดูเท่ ในสไตล์เก๋า ๆ อีกด้วย ซึ่งวันนี้เรามีไอเดีย 10 แฟชั่น มิกซ์แอนด์แมทช์ สไตล์ วินเทจ ที่ใส่แล้วรับประกันความ Cool ได้ตลอดทั้งเดือนแน่นอน

วินเทจ (Vintage) ที่เราพูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน มาจากคำว่า Vendage (วองดองซ์) หมายถึงการเก็บเกี่ยวองุ่นในภาษาฝรั่งเศส ตามข้อมูลจากหนังสือโลกของไวน์ Vintage (Vint+age) หมายถึงปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นและผลิตไวน์ ดังนั้นเมื่อนำมาใช้เรียกแฟชั่นเสื้อผ้าในยุค 1920 ถึง1980 จึงมีนัยสำคัญถึงสไตล์ของเสื้อผ้าที่ยิ่งเก่าก็ยิ่งดูดีมีราคานั่นเอง ไม่เหมือนชุดนักฟุตบอลที่นักเตะดังๆทั่ง อัลบาโร่ โมราต้า เมสซี้ ฟานไดจ์ รวยจากการเตะแค่ไหนก็ต้องใส่ชุดบอลเวลาลงสนามที่ไม่มีความแปลกใหม่ นอกจากจะใช้เรียกแฟชั่นเสื้อผ้าแล้ว วินเทจยังสะท้อนรสนิยมของผู้ที่ชื่นชอบเครื่องใช้และของสะสมในยุคโบราณ เช่น รถยนต์ นาฬิกา โคมไฟ และเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนแฟชั่นเสื้อผ้า ที่นำมามิกซ์แอนด์แมทช์ ทั้ง 10 แบบมีดังต่อไปนี้

  1. เสื้อยืดสกรีนลายวินเทจ ใส่กับกางเกงยีนส์ กางเกงผ้า หรือกางเกงเอวสูง ก็ดูดี
  2. เสื้อเชิ้ตลายดอกกับกางเกงเอวสูง ชายกางเกงปล่อยให้เป็นริ้ว ๆ รุ่ย ๆ หรือกางเกงยีนส์ขาบานก็ดูเท่ได้ทุกแนว
  3. เสื้อยืดสายเดี่ยวสีขาวหรือดำ ใส่กับกระโปรงปักลายดอกไม้สีสันสดใส ก็เปรี้ยวแซ่บย้อนยุคไปอีกแบบ
  4. เสื้อสายเดี่ยวหรือคอกลมลายขวาง ใส่กับกางเกงยีนส์ขาบาน ก็ดูเท่แบบน่ารัก ๆ
  5. เสื้อกล้ามสีสันสดใส ใส่กับกางเกงยีนส์เอวสูง แถมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนังทรงวินเทจอีกสักคู่ แบบปลาเก๋ายังต้องเรียกพี่
  6. เสื้อครอปปาดไหล่ กับกางเกงยีนส์สีซีดทรงพอง ๆ หลวม ๆ หรือกางเกงยีนส์เอวสูง ขาบานก็ดูดี
  7. ชุดเดรสลายจุด หรือลายดอกไม้เล็ก ๆ ตลอดทั้งตัว ก็ดูวินเทจปนเซ็กซี่แบบเบา ๆ ไม่ซ้ำใคร
  8. เสื้อเชิ้ตสีพื้นหรือลายสก๊อตผูกเอว ใส่กับกางเกงสีดำเอวสูง หรือยีนส์ทรงกระบอกพับขาตัวพอง ๆ
  9. เสื้อแขนกุดโทนสีดำ ใส่กับกางเกงเอวสูง ดูเท่แบบลึกลับชวนค้นหา
  10. เสื้อ Blouse ผ้าชีฟอง มีระบาย หรือเสื้อลูกไม้ กับกระโปรง Middle skirt ไม่ว่าจะเป็นผ้าพริ้ว ๆ หรือกระโปรงยีนส์ ขาบาน ก็คูลสุด ๆ ไปเลย

สำหรับใครที่ชอบจัดหนักจัดเต็ม ก็อาจจะเพิ่มดีกรีความแซ่บได้อีกนิดด้วยผ้าพันคอ หมวก หรือกระเป๋าผ้าสะพายเท่ ๆ อีกสักใบ แต่ถ้าไม่ชอบแนวหวาน ๆ แนะนำเสื้อยืดพิมพ์ลายของวงดนตรีร็อคมือสองใส่กับยีนส์ขาสั้นรุ่ย ๆ หรือเสื้อยืดลายกราฟิกสวย ๆ นำมามิกซ์แอนด์แมทช์กับกระโปรงหรือกางเกงผ้าทรงโบราณที่มีอยู่วน ๆ ไป เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีเสื้อผ้าแฟชั่นย้อนยุคสไตล์วินเทจใส่ได้ไม่ซ้ำใครเป็นเดือน ๆ เลยทีเดียว

7 ทักษะสำหรับคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่

7 ทักษะสำหรับคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่

ในยุคนี้โลกออนไลน์กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของมนุษย์เราไปโดยปริยาย จนหลายคนผันตัวเองมาสู่อาชีพนักเขียนและคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่ ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เหล่านักเขียนได้รับมุมมองใหม่ ๆ และสามารถนำไปใช้พัฒนาทักษะการทำงานมี 7 ข้อดังต่อนี้

1.อ่านให้มาก และเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Editorial Content และ Marketing Content สำหรับ Editorial Content เป็นการนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ที่สื่อหรือกองบรรณาธิการ ต้องการเผยแพร่ไปสู่สังคม ส่วน Marketing Content เป็นการนำเสนองานเขียนในเชิงโปรโมทเพื่อการตลาด

2.รักในสิ่งที่ทำและซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ใช้วิจารณญาณกลั่นกรองคอนเทนต์ โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องการให้ชีวิตดีขึ้น ในแง่มุมไหน อย่างไร เมื่อเราค้นพบคำตอบที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยในการทำชีวิตให้ดีขึ้น ก็จะตอบโจทย์ของเป้าหมายในการสื่อสาร

3.เตรียมข้อมูลให้พร้อม และเปิดรับประสบการณ์งานเขียนในทุก ๆ แนว เพราะประสบการณ์จากการลองทำงานเขียนหลายแบบและสไตล์ จะทำให้คุณได้พัฒนาฝีมือและทักษะในการเขียนให้เก่งขึ้นได้

4.วางโครงเรื่องและกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน โดยวิเคราะห์ว่ากลุ่มเป็นหมายเป็นใคร มีอาชีพอะไร ต้องการอะไร แล้วสร้างคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น การสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับที่พักสำหรับคนรักแมว เมื่อกลุ่มคนเลี้ยงแมวได้มาอ่าน ผลลัพธ์ต่าง ๆ ก็จะตามมา

5.เขียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก ความสม่ำเสมอมีผลต่อการรักษามาตรฐานของผลงาน และสร้างการรับรู้มากขึ้น สำหรับบางคนเมื่อเกิดความชำนาญก็จะสามารถวางโครงสร้างและลงมือทำได้ โดยไม่ต้องรอให้มีอารมณ์เขียนและคัดเลือกผลงานมาทำเป็น Portfolio เก็บไว้เผยแพร่

6.คอนเทนต์ที่นำเสนอต้องเข้าใจง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคเยอะเกินไป นำเสนอเนื้อหาที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเสียเวลาในการอ่านและการตีความมากนัก เนื้อหาที่เข้าใจยากจะทำให้ลดความน่าสนใจของเนื้อหาลงไป

7.วางแผนการโพสต์ให้ถูกที่ถูกเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่า การอ่านก็เช่นกัน นอกจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังต้องรู้ถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้คอนเทนต์ได้รับความสนใจและนำไปใช้ได้ เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในวัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี คอนเทนต์จึงควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาระน่ารู้ในชีวิตประจำวัน โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ช่วงเวลาเดินทางประมาณ 7.00-9.00 น. เพราะส่วนใหญ่กลุ่มคนทำงานนิยมใช้มือถือในระหว่างการเดินทาง

นักเขียนที่ดี มีต้นกำเนิดมาจากนักอ่านที่ดี สั่งสมประสบการณ์และต้นทุนความรู้เพื่อนำมาใช้ในงานเขียนได้อย่างหลากหลาย มีเสน่ห์และมีอัตตลักษณ์เป็นของตนเอง เพียงเท่านี้คุณก็จะเป็นคอนเทนต์ไรเตอร์มือใหม่ที่มีแฟนคลับเฝ้ารอที่จะอ่านอย่างแน่นอน

รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Life ตามสไตล์ New Normal

รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Life ตามสไตล์ New Normal

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องที่ต้องอัปเดตกันแบบนาทีต่อนาทีในยุคปัจจุบันนี้คือ เรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่อันตรายและแพร่กระจายไปทั่วโลก เชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้นับแสนคน

ถึงแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่า ชีวิตของคนไทยเข้าสู่ระยะปลอดภัยได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนหรือตัวยารักษาได้อย่างชัดเจน ทางเดียวที่จะสามารถทำให้ทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตได้แบบปกติและปลอดภัยคือ การเลือกใช้ชีวิตแบบ New Normal อันเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ถูกบัญญัติขึ้นในยุคโควิด-19 ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเห็นเคยได้ยินคำศัพท์นี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่ก็อาจจะไม่รู้เลยว่า New Normal นี้คืออะไร และทำไมต้องใช้ชีวิตแบบสไตล์ New Normal

New Normal แปลได้อย่างตรงตัวหมายความว่า ความปกติใหม่ คือการใช้ชีวิตแบบปกติในรูปแบบใหม่ แน่นอนว่าต้องมีคนที่สงสัยอยู่ว่า การใช้ชีวิตปกติใหม่คืออะไร อธิบายแบบง่าย ๆ เลยว่าคือ การออกมาใช้ชีวิตประจำวันที่เคยทำกันแบบเป็นปกติภายใต้รูปแบบใหม่ที่ต้องถือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ชีวิตและห่างไกลจากเชื้อโควิด-19 นั่นเอง ซึ่งหลัก ๆ ของการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้แก่

  1. การสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าก่อนจะเกิดโควิด-19 มีประชาชนในเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน แต่ชีวิตแบบ New Normal หน้ากากอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็น
  2. เกิดการเว้นระยะห่างทางสังคมมากยิ่งขึ้น จากเดิมนิสัยของคนไทยที่ชอบอยู่รวมกลุ่มกัน ปาร์ตี้สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกัน กลับกลายเป็นต้องเว้นระยะห่างต่อกันมากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่สามารถส่งต่อได้ด้วยการจับหรือสัมผัสนั้นเอง
  3. หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านให้มากที่สุดเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งวิธีการนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับหลักการทำงานในบางบริษัท ที่จับวิธีการทำงานแบบ WFH (Work from Home) ขึ้นมาใช้ และเชื่อว่าในอนาคต การทำงานลักษณะนี้จะกลายเป็นชีวิตแบบปกติในอนาคต

นอกจาก 3 ข้อหลัก ๆ ข้างต้นแล้ว การใช้ชีวิตแบบ New Normal ยังมีอีกหลากหลายวิธี โดยเฉพาะการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ จะเห็นได้จากช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงกอบโกยรายได้ของธุรกิจ Delivery เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้คนจะไม่ได้ออกจากบ้านก็ยังมีอาหารอร่อย ๆ ให้ทาน และถึงแม้ว่าร้านอาหารจะไม่เปิดก็ยังมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัย และที่สำคัญ การใช้ชีวิตสไตล์ New Normal จะทำให้คนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นคุณมากกว่าโทษ

5 ต้นไม้ช่วยดูดมลพิษ ฟอกอากาศให้สดชื่น ปลูกเองได้ภายในบ้าน

5 ต้นไม้ช่วยดูดมลพิษ ฟอกอากาศให้สดชื่น ปลูกเองได้ภายในบ้าน

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าต้นไม้ทำหน้าที่ให้ออกซิเจนกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่คุณรู้ไหมว่าต้นไม้บางชนิดมีคุณสมบัติพิเศษอีกด้านหนึ่ง นั่นก็คือสามารถดูดสารพิษหรือมลพิษต่าง ๆ ได้และช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้อีกด้วย ที่สำคัญสามารถปลูกเองได้ที่บ้าน นอกจากจะช่วยดูดควันพิษแล้ว ยังใช้ประดับตกแต่งบ้านให้สวยงามได้อีกด้วย มาดูกันว่าต้นไม้ที่ว่านั้นมีต้นอะไรบ้าง

ต้นเศรษฐีเรือนใน

ถ้าไม่ใช่คนในวงการต้นไม้คงนึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นชื่อของต้นไม้ได้…ใช่แล้วนี่เป็นชื่อของต้นไม้แถมยังเป็นชื่อต้นไม้มงคลเสียด้วย เชื่อกันว่าถ้าใครปลูกต้นเศรษฐีเรือนในไว้ที่บ้านจะทำให้เกิดโชคลาภและคอยป้องกันภัยให้กับผู้ที่ปลูกด้วย นอกจากนี้เศรษฐีเรือนในยังช่วยดูดสารพิษในอากาศได้ และแนะนำว่าผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศโดยเฉพาะแพ้ฝุ่น ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ เป็นไม้ที่ปลูกไม่ยาก ดูแลง่าย 2-3 วันรดน้ำครั้ง สามารถปลูกในกระถางดินเล็ก ๆ ก็ได้

ต้นพลูด่าง

เป็นไม้เลื้อยที่แสนจะธรรมดาแต่มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาเลย สามารถดูดซับสารพิษในอากาศได้เป็นอย่างดี สามารถปลูกไว้ในห้องนอนได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งออกซิเจนเวลาที่เราหลับอีกด้วย ข้อสำคัญปลูกง่ายมาก จะปลูกกับดินหรือจะให้รากแช่น้ำก็โตได้ ไม่ต้องการแสงมาก เป็นพืชที่ทนกับทุกสภาพ ขอแค่มีน้ำเลี้ยงจะปลูกตรงไหนก็อยู่ได้ และโตได้เช่นกัน

ว่านหางจระเข้

เชื่อว่าเกือบทุกคนที่รู้ว่าว่านหางจระเข้นั้นใช้เป็นเจลสำหรับพอกหน้าเพื่อความสวยความงาม และเป็นสมุนไพรไว้ทาเวลาโดนน้ำร้อนลวกหรือแผลพุพองจากการโดนไฟไหม้ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติดูดซับสารพิษทางอากาศและช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่นั้น ว่านหางจระเข้ยังปล่อยออกซิเจนในเวลากลางคืนและช่วยลดมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าใครอยากปลูกต้นไม้ไว้ในห้องนอนหรือริมหน้าต่าง ว่านหางจระเข้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

ต้นหนวดปลาหมึก

ฟังชื่อแล้วน่ากินใช่ไหมล่ะ…ต้นหนวดปลาหมึกมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการดูดซับสารพิษ ไม่ใช่แต่เพียงในไทยที่นิยมเท่านั้น ในต่างประเทศก็นิยมปลูกต้นหนวดปลาหมึกนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเลี้ยงเหมือนต้นบอนไซ สามารถปลูกในห้องนอนได้ด้วย ที่สำคัญไม่แย่งอากาศเราเวลานอน

ต้นเขียวหมื่นปี

เป็นต้นไม้ที่อายุยืนจนได้ชื่อว่าเป็นต้นเขียวหมื่นปี เพราะมีลักษณะที่ทนทาน ตายยาก สามารถเจริญเติบโตได้แม้อยู่ในที่ไม่มีแสงแดด ข้อสำคัญคือสามารถฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้ตลอดเวลา ใครที่ไม่ค่อยมีเวลาแต่อยากมีต้นไม้ปลูกไว้ในบ้านบ้าง ก็ลองหาต้นเขียวหมื่นปีมาปลูกได้ ไม่ต้องดูแลหรือทะนุถนอมมากเหมือนไม้ประดับอื่น ๆ

สำหรับผู้ที่อยากสร้างโอโซนในพื้นที่ส่วนตัวหรืออยากให้บ้านหรือห้องนอนมีอากาศที่บริสุทธิ์ ก็ลองหาต้นไม้ตามที่กล่าวมาปลูกกันได้ นอกจากจะช่วยฟอกอากาศและดูดสารพิษแล้ว ยังให้ความร่มรื่นและทำให้เราสดชื่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ต้นไม้อีกด้วย

Smart Watch ผู้ช่วยตัวจริงของคนรักสุขภาพ

Smart Watch ผู้ช่วยตัวจริงของคนรักสุขภาพ

หนึ่งในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ผู้คนนิยมเลือกใช้ประจำตัวจนกลายเป็นเสมือนแฟชั่นยุคใหม่ไปแล้ว ก็คือ “Smart Watch” นาฬิกาสุขภาพ ที่มีให้เลือกหลายสไตล์ หลายระดับราคา และฟังก์ชันการใช้งานที่แตกต่างกัน เลือกได้ทั้งรูปลักษณ์ที่เป็นนาฬิกาและเป็นแบบสายรัดข้อมือ

เปิดฟังก์ชันการดูแลสุขภาพของ Smart Watch

นาฬิกาสุขภาพ หรือ Smart Watch นี้จะมีฟังก์ชันการทำงานหลายอย่างที่ช่วยในการดูแลสุขภาพได้อย่างดี โดยเฉพาะการนับจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน ซึ่งเป็นฟังก์ชันสุดฮิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรักสุขภาพที่มักจะพยายามเดินให้ได้ถึง 10,000 ก้าวต่อวัน ตามคำแนะนำทางการแพทย์เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี, ฟังก์ชันตรวจวัดปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ , ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, วัดการนอนหลับพักผ่อนในแต่ละวัน และบางรุ่นของ Smart Watch จะมีฟังก์ชันวัดความดันโลหิตให้ด้วย

ข้อมูลสุขภาพของผู้สวมใส่นาฬิกา Smart Watch เหล่านี้จะเชื่อมต่อไปยังแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือด้วยระบบบลูทูธ เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลไว้เป็นสถิติเพื่อแปรผลเป็นข้อมูลพื้นฐานช่วยในการวินิจฉัยเพื่อรักษาโรคประจำตัวได้

เหตุผลที่ผู้คนหันมานิยมใช้ Smart Watch

Smart Watch เป็นหนึ่งสินค้าที่อยู่ในกลุ่ม Wearable Device ที่กำลังมาแรงในยุคดิจิทัล อุปกรณ์ในกลุ่มนี้จะใช้ระบบ “IoT” หรือ Internet of Thing ซึ่งหลายคนเรียกว่าระบบ อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง เป็นพื้นฐานการทำงานที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันมีความสะดวกสบายขึ้น และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนสุขภาพมาก ด้วยความที่ Smart Watch เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ง่ายและสามารถใช้แทนนาฬิกาได้ จึงทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับอุปกรณ์ Wearable Device ตัวนี้ได้ง่ายกว่า นั่นจึงทำให้ Smart Watch กลายเป็นตัวช่วยหลักของคนรักสุขภาพไปแล้ว ด้วยประโยชน์ที่โดดเด่นของ Smart Watch ต่อไปนี้

เหตุผลที่ผู้คนหันมานิยมใช้ Smart Watch

  • สามารถเก็บข้อมูลการออกกำลังกายไว้เป็นสถิติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นในการออกกำลังกายหรือการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อาทิ สถิติการวิ่งที่เคยทำไว้ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ จะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการขยายเวลาหรือระยะทางให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นพัฒนาการการออกกำลังกายของตัวเอง จนทำให้มีสุขภาพดี ลดการเจ็บป่วยลงได้ในที่สุด
  • เป็นระบบที่สามารถใช้ จีพีเอส ติดตามได้ โดยเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ฟังก์ชั่นแบบนี้จะช่วยในการติดตามพิกัดตำแหน่งของผู้สวมใส่นาฬิกาได้ตลอดเวลาจึงนิยมใช้กับเด็กหรือ ผู้สูงวัย ที่มีโอกาสพลัดหลงได้ง่าย
  • การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านระบบบลูทูธ ทำให้สามารถตั้งการแจ้งเตือนกรณีมีข้อความ, อีเมล หรือมีโทรศัพท์เข้ามา โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ฟังก์ชันนี้นอกจากจะเพิ่มความสะดวกแล้ว ยังทำให้คนที่กำลังขับรถปลอดภัยมากขึ้นด้วย

ราคาของนาฬิกา Smart Watch มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น และกำลังเป็นผู้นำในแฟชั่นนาฬิกายุคปัจจุบัน เพราะ Smart Watch นอกจากเป็นนาฬิกาที่สวยงาม บางยี่ห้อก็สามารถทำให้ปรับรูปโฉมหน้าปัดได้ตามความชอบแล้ว ก็ยังเป็นตัวช่วยหลักในการดูแลสุขภาพให้กับคนยุคใหม่ด้วย